“และทั้งหมดที่พูดไป คือวิธีทำให้ได้ A* ในแต่ละวิชาครับ … หนูคิดว่าหนูจะเอา A* สักกี่ตัวดี”

ผมถามเด็กคนหนึ่ง ที่กำลังนั่ง consult วางแผนการเรียนกันอยู่

“เอาหมดเลยค่ะ 10 ตัว”

เด็กคนนั้นตอบอย่างมั่นใจ ก่อนที่คุณแม่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยกัน จะพูดขึ้นมาว่า

“เอา B ให้รอดก่อนเถอะ ดู school report ตอนนี้สิ มีแต่ B กับ C เต็มไปหมด ยังมีหน้าจะมาพูดว่าจะเอา A* ทุกตัว”

เด็กคนนั้นหน้าเสีย ผมบอกคุณแม่ว่าให้หยุดว่าลูกก่อน school report ตอนนี้มันก็แค่ตอนนี้ ถ้าทำตามกลยุทธ์ที่อธิบายไป และขยันตามที่ตกลงกัน โอกาสที่จะทำได้ตามที่ต้องการนั้นก็เป็นไปได้มากทีเดียว

ไม่ว่าคุณแม่จะเชื่อที่ผมพูดหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วคือ เด็กคนนั้นได้เสียความมั่นใจบางอย่างไปเรียบร้อยแล้ว จากคำดูถูกของแม่ตัวเองนั่นเอง

และนี่ไม่ใช่เคสแรก หรือ เคสเดียวที่ผมเคยเจอ

ทำไมเราถึงดูถูกลูกตัวเอง

ผมเชื่อว่ามี 2 สาเหตุหลัก ๆ

อย่างแรก คุณพ่อคุณแม่เชื่อในสิ่งที่เห็นในปัจจุบัน เช่นปัจจุบันผลการเรียนของลูกไม่ดี ลูกไม่ตั้งใจเรียน ลูกติดเกม ลูกสารพัดจะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าเขาเอาดีในเรื่องการเรียนไม่ได้ และส่วนมากมักจะเกิดอีกเรื่องตามมาคือการเอาลูกตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น ลูกคนนั้นได้ A ทุกตัว ลูกคนโน้นสอบได้ที่ 1 ของห้อง ลูกคนนู้นได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ลูกตัวเองยังไปไม่ถึงไหนเลย เลยยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฝังใจว่าลูกตัวเองนั้นไม่ได้เรื่องอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อเชื่อแบบนั้น ต่อมาก็ตามมาด้วยการแสดงออก เมื่อลูกทำผิดพลาด เมื่อลูกเกรดไม่ดี ก็จะมีคำพูดที่ออกมาว่า เนี่ยเห็นไหม ออกมาไม่ดีจริง ๆ ด้วย และเมื่อได้ยินคนอื่นพูดว่าลูกตัวเองจริง ๆ ก็มีศักยภาพและน่าจะทำได้ดี ด้วยความที่ขัดความเชื่อตัวเอง ก็จะพูดออกมาตรง ๆ อย่างที่คิดในทำนองว่าเป็นไปไม่ได้หรอก

อย่างที่สอง คุณพ่อคุณแม่บางบ้านมีความเชื่อว่าการดูถูกนั้นจะทำให้ลูกลุกขึ้นสู้ ชนิดว่าโดนดูถูกมาก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ และเมื่อไรที่พลิกได้สู้ได้ ก็จะแข็งแกร่งขึ้น ก็จะประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

เราอาจจะพบเห็นอย่างแรกได้มากกว่าอย่างที่สอง แต่เชื่อไหมครับว่า ผลลัพธ์ที่ได้มันแย่พอ ๆ กันเลย

คำพูดของคุณพ่อคุณแม่มีอิทธิพลต่อลูกเสมอ

นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้นการตราหน้าเขาว่าโง่ การบอกเขาว่าเขาจะทำไม่ได้ การเปรียบเทียบเขากับคนอื่นแล้วหาว่าเขาไม่ได้เรื่อง เขาก็จะเชื่อแบบนั้นจริง ๆ และเมื่อเชื่อแบบนั้นจริง ๆ แล้ว คำถามคือ เขาจะทำตัวเองให้ดีขึ้นมาอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการได้อย่างไรครับ และผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ เมื่อเชื่อแล้วว่าที่คุณพ่อคุณแม่ดูถูกเป็นความจริง ก็เลยคิดได้ว่างั้นไม่ต้องสนใจเรียนแล้ว ไม่ต้องตั้งใจเรียนแล้ว เพราะทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา จากที่คุณพ่อคุณแม่เห็นว่าเหลวไหลธรรมดา ก็จะยิ่งเหลวไหลหนักขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้เกิดจากจุดเริ่มต้นที่คุณพ่อคุณแม่ดูถูกเขานั่นแหละครับ

ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากำลังใจ

การให้กำลังใจ ไม่ใช่การสปอยล์ บางบ้านไม่เคยให้กำลังใจลูกเลยเพราะกลัวลูกจะเหลิง กลัวลูกจะได้ใจ ตรงนี้เราต้องแยกให้ออกนะครับว่า การให้กำลังใจกับการสปอยล์นั้นมันไม่เหมือนกัน

การสปอยล์ คือ อะไร ๆ ก็ดีไปหมด อะไร ๆ ก็ชมไปหมด ทำถูกก็ชม ทำผิดก็ชม ไม่ทำอะไรก็ชม อันนี้คือสปอยล์ ซึ่งไม่มีผลดีแน่นอนเพราะว่าทำให้ลูกเข้าใจผิดว่าทำอะไรก็มีค่าเท่ากัน ยังไงก็จะมีคนชอบคนชมคนสนับสนุนอยู่ดี อันนี้เป็นอันตรายในระยะยาวไม่ต่างอะไรกับการดูถูกครับ

ส่วนการให้กำลังใจ คือ การเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ เช่น เวลาลูกผิดพลาดมา ล้มเหลวมา สอบได้คะแนนไม่ดี เกรดที่โรงเรียนไม่ดี โดนครูเรียกไปตำหนิ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือการทำให้ลูกรู้ว่า คุณพ่อคุณแม่ยังคอยสนับสนุนอยู่ ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เขาไม่ได้ต้องเผชิญหน้ากับมันคนเดียว จากนั้นก็ค่อย ๆ พูดคุยกันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร จะแก้ไขมันอย่างไร จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร ลูกต้องการการสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่ในเรื่องใดจุดไหนบ้าง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไปด้วยกัน

เคสข้างต้นที่ผมเล่าให้ฟังนั้น มีอีกครั้งหนึ่งที่เรื่องราวเริ่มต้นใกล้เคียงกันมาก แต่ตอนจบนั้นไปคนละเรื่องเลย

“หนูคิดว่าจะเอา A* สักที่ตัวดี” ผมถามเด็กคนหนึ่ง

“เอาทุกตัวเลยค่ะ หนูอยากลองพยายามดู” เด็กคนนั้นตอบ

“เอาเลยลูก แม่เอาด้วย แม่ชื่อว่าหนูทำได้นะ แต่หนูต้องทำตามขั้นตอนที่ครูเขาพูดวันนี้ แล้วก็ขยันมากขึ้นด้วยนะ” คุณแม่พูดให้กำลังใจ

“ทำได้ไหมครับ” ผมถามย้ำเด็กนั้น

“ก็ เอ่อ … ก็น่าจะทำได้ค่ะ” เด็กคนนั้นตอบ เริ่มไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไร

“ไม่เป็นไรลูก เราไม่เคยทำมาก่อน เราค่อย ๆ ทำค่อย ๆ ปรับตัวไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น ทุกคนเชื่อว่าหนูทำได้ และก็จะเป็นกำลังใจให้หนูนะ” คุณแม่พูดให้กำลังใจอีกครั้งหนึ่ง

และเรื่องราวก็จบลงด้วยรอยยิ้มของทุกคน และสุดท้ายเด็กคนนี้ก็ทำเกรด IGCSE ได้ดีมาก ๆ ครับ แม้จะไม่ใช่ทุกตัวที่ได้ A* แต่ก็ได้มามากถึง 7 A* และมีตัวที่ทำได้ 100 เต็ม 100 ด้วย น่าชื่นใจมาก ๆ จากเดิมที่ที่ school report ในวันแรกที่มาเจอกันคือ B 2 วิชาที่เหลือ C หมดเลย

คุณพ่อคุณแม่ครับ อย่าดูถูกลูกตัวเองเลยครับ ผมไม่รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่เจออะไรมาบ้าง ลูกอาจจะดื้อจะซน จะไม่ตั้งใจ จะทำให้ปวดหัวรำคาญใจเสียใจอยู่บ่อย ๆ แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องเชื่อก่อนครับว่า ทุกคนเกิดมาไม่ได้มีใครอยากจะล้มเหลวหรอก ทุกคนอยากจะประสบความสำเร็จและทำให้ดีที่สุดทั้งนั้น แต่เขาต้องลงมือทำ ซึ่งก่อนลงมือทำเขาต้องเชื่อก่อนว่าเขาจะทำได้ และคนแรกที่จะทำให้เขาเชื่อได้จริง ๆ ก็คือคุณพ่อคุณแม่ที่เชื่อเขาอยู่เสมอ สนับสนุนอยู่เสมอ ให้กำลังใจอยู่เสมอนี่แหละครับ

อย่าถอดใจกับลูกเลยนะครับ เขาอาจจะรอวันที่คุณพ่อคุณแม่จะเข้าไปบอกเขาว่า “พ่อกับแม่เชื่อว่าลูกทำได้นะ” อยู่ก็ได้ครับ ลองเข้าไปคุยกับลูกดูสิครับ