ในหลาย ๆ ครอบครัวที่กำลังส่งถึง และเข้าใจทั้งหมดแล้ว ว่าการส่งลูกไปเรียนเมืองนอกจะมีข้อดีอย่างไรบ้าง สุดท้ายหลาย ๆ บ้านก็จะมาลงจบด้วยความกังวลในประเด็นที่ว่า ถ้าส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ไปอยู่ไกลตัว ไม่อยู่ในสายตาแล้ว ก็กลัวว่าเขาจะเสียคน กลัวว่าเขาจะไปทำอะไรเสียหาย

เรามาดูความจริง 3 ข้อเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจนะครับ

อย่างแรก ลูกอยู่ใกล้ตัวก็เสียคนได้

ในความคิดของเรา การที่ลูกไปอยู่ไกลตัว การที่ไม่อยู่ในสายตา การที่ไม่มีโอกาสได้พร่ำสอนบ่อย ๆ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ลูกไปทำอะไรเสียหาย เพราะขาดคนคอยชี้แนะสิ่งที่ถูกที่ควร แต่ทุกวันนี้ถ้าเราอ่านข่าว หรือ นึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราก็จะพบความจริงว่า ไม่น้อยเลยทีเดียวที่เป็นกรณีที่ลูกอยู่ใกล้ตัวแท้ ๆ แต่ก็ยังเสียคนหรือสร้างความเสียหายได้

คุณพ่อคุณแม่อยู่กับลูกในตอนที่ลูกอยู่บ้าน นั่นอาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวเสียด้วยซ้ำที่อยู่ในสายตากันจริง ๆ เวลาเขาอยู่นอกบ้าน เวลาเขาไปโรงเรียน เวลาเขาไปเที่ยวกับเพื่อน ต่อให้ยังอยู่เมืองไทยด้วยกัน คำถามคือเราสามารถรู้ได้จริง ๆ หรือว่าเขากำลังทำอะไรบ้าง หรือแม้แต่อยู่ในบ้าน เวลาเขาอยู่ในห้องของเขาเอง เรารู้หรือไม่ว่าเขาคุยกับใครทางโลกออนไลน์ หรือกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ … เอาจริง ๆ คือเราไม่มีวันรู้เลยครับ

เพราะฉะนั้น จะใกล้ตัวหรือไกลตัว ความเสี่ยงเรื่องไม่อยู่ในสายตาแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ซ้ำร้ายเด็กบางคนพอถูกบังคับให้อยู่ในสายตามาก ๆ คอยโดนตาม โดนดูแลอย่างใกล้ชิด ยิ่งพยายามแหกคอก พยายามหาช่องทาง หาช่วงเวลาที่จะเป็นอิสระ พอนึกภาพออกไหมครับ เผลอ ๆ การอยู่ใกล้ตัวเกินไปแล้วคอยติดตามกันมากเกินไป กลับจะยิ่งสร้างปัญหามากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป

อย่างที่สอง มันไม่เกี่ยวกับเมืองนอก มันเกี่ยวกับเรื่องของสังคมที่ลูกอยู่มากกว่า

คิดง่าย ๆ ว่าถ้าลูกอยู่ในโรงเรียนที่ไม่ดี สังคมไม่ดี ในเมืองไทย กับ ลูกได้ไปเรียนโรงเรียนดี ๆ สังคมดี ๆ ในต่างประเทศ อันแรกลูกอยู่ใกล้ตัว อันที่สองลูกอยู่ไกลตัว จริง ๆ แล้วแบบไหนจะดีกว่า

คิดด้วยเหตุด้วยผลนะครับ ลูกใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงเรียน นั่นคือสังคมที่เขาจะต้องเติบโตและเรียนรู้ จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโรงเรียนคือที่ที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเขามาก ๆ แม้จะอยู่ใกล้ตัวด้วยกันที่เมืองไทย แต่ถ้าเป็นโรงเรียนที่ไม่ดี สังคมที่ไม่ดี ดูแลกันใกล้ชิดแค่ไหนที่บ้าน ลูกก็เสียหายที่โรงเรียนได้ ซึ่งถ้าเผอิญมีโอกาสได้ไปโรงเรียนดี ๆ ในต่างประเทศแล้ว ย่อมจะดีกว่าอย่างแน่นอน

แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรู้ก็คือ ขึ้นชื่อว่าต่างประเทศก็ใช่ว่าจะดีทุกโรงเรียน อย่างโรงเรียนในอังกฤษมีตั้งเป็นร้อยเป็นพันโรงเรียน ครั้นจะบอกว่าไหน ๆ ก็ได้ไปอังกฤษแล้วก็ไปเรียนโรงเรียนไหนก็ได้ อันนี้คือความคิดที่ไม่ถูกต้อง เลือกโรงเรียนให้ลูกที่เมืองนอกต้องพิจารณาปัจจัยหลาย ๆ อย่างดี ๆ ง่ายสุดคือสังเกตวิธีการรับเข้า ถ้าขั้นตอนเยอะ คัดละเอียด ก็มีแนวโน้มจะเป็นโรงเรียนที่ดี เพราะแปลว่าเขาคัดกรองสังคมให้ลูกของเราด้วย แต่โรงเรียนแบบสมัครปุ๊บรับปั๊บแถมแจกทุน อันนี้ต้องระวัง ลองหาบทความเก่า ๆ ที่เคยเขียนไว้เกี่ยวกับการคัดเลือกโรงเรียนอ่านดูนะครับ

อย่างที่สาม ใกล้ชิดลูกมากไป ลูกไม่โต ลูกต้องมีที่พึ่งพิงตลอด นั่นแหละที่อันตรายจริง ๆ

คุณพ่อคุณแม่บางบ้านใกล้ชิดลูกมาก ๆ ดูแลลูกดีมาก ๆ จนถึงระดับมากเกินไป ก็คือ ลูกทำอะไรเองไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่เรื่องของการกระทำต่าง ๆ แต่รวมไปถึงเรื่องของความคิดด้วย ทุกอย่างคุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจให้ เลือกให้ ชี้นำให้ทุกอย่าง จนลูกเองก็รู้สึกว่าชีวิตเขาถ้าจะปลอดภัย ก็ต้องเชื่อคุณพ่อคุณแม่นี่แหละ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณพ่อคุณแม่ก็จะจัดการให้เขาตลอด

ลองนึกภาพ ถ้าวันหนึ่งเราต้องจากเขาไปอย่างกระทันหันดูสิครับ ถ้าเขาไม่เคยถูกฝึก ไม่เคยถูกปล่อยให้ล้ม ให้เรียนรู้ ให้ผิดพลาด ให้ตัดสินใจ ให้ลงมือทำอะไรด้วยตนเองแบบจริง ๆ จัง ๆ เลย วันนั้นเขาจะอยู่ได้อย่างไร

หรือต่อให้ไม่ต้องคิดสุดโต่งขนาดนั้น แค่วันนึงเขาโตขึ้นมา ต้องไปใช้ชีวิตในสังคมจริง ๆ แต่ไม่เคยถูกฝึกให้มีวุฒิภาวะทางการกระทำและความคิดที่ดีพอมาก่อน เขาจะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร

มันเข้าข่าย “พ่อแม่รังแกฉัน” นะครับ

การให้ลูกไปเรียนที่เมืองนอก ไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย (แต่ย้ำว่าต้องเป็นโรงเรียนที่ดีพอเท่านั้น !) มันจะทำให้ลูกของเราได้เรียนรู้อย่างแน่นอนครับ เพราะอยู่ไกลจากพ่อแม่ในระดับที่เขาจำเป็นจะต้องทำบางอย่างเอง ตัดสินใจหลาย ๆ เรื่องเอง แน่นอนว่าบางครั้งมันอาจจะยาก อาจจะเจ็บปวด แต่เมื่อเขาผ่านไปได้ นั่นคือการเติบโต นั่นคือทักษะชีวิตที่จะอยู่กับเขาตลอดไป

สุดท้าย แม้ลูกเราจะไปเรียนเมืองนอกแล้ว มันก็ไม่ได้แปลว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่ได้อยู่กับเขา ไม่มีโอกาสได้สอนเขานะครับ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทันสมัยขึ้นกว่าแต่ก่อน การสื่อสารพูดคุยข้ามประเทศเป็นครั้งคราวให้พอหายคิดถึงกันนั้นทำได้สะดวกขึ้น อีกอย่างหนึ่ง ลูกเขามีปิดเทอมครับ ปีหนึ่ง ๆ บินกลับก็หลายรอบอยู่ มันไม่ได้ห่างกันไกลขนาดนั้นครับ จริง ๆ ห่างกันบ้างก็ดี ให้พอคิดถึงกันครับ

สรุปแล้ว ไม่เกี่ยวกับใกล้ตัวหรือไกลตัว มันเกี่ยวกับว่าลูกของเราไปอยู่ในสังคมแบบไหนมากกว่า และที่ที่ ๆ เปิดโอกาสให้เขาได้เติบโตด้วยตัวเองได้ นั่นแหละครับคือที่ที่ดีที่สุด เพราะนอกจากเขาจะไม่เสียคนแล้ว เขายังจะเป็นคนที่พร้อมสำหรับวันข้างหน้าที่ต้องไปมีชีวิตของตัวเองจริง ๆ ด้วยครับ