การค้นหาตัวเอง เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับทุกคนครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลักสูตรของประเทศอังกฤษที่ถ้าหาตัวเองไม่เจอว่าตัวเอง Born to be อะไร ต่อให้เกรดดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยดี ๆ ในประเทศอังกฤษได้ ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ค้นหาตัวเองนั้นก็มีหลายอย่าง อย่าง Career Test ที่เด็ก ๆ ควรทำก่อนขึ้น Year 9 นั่นก็คือเครื่องมือขั้นต้นที่ต้องใช้เพื่อการวางแผนการเรียนในปีต่อ ๆ ไป แต่วันนี้เราจะมารู้จักอีกเครื่องมือกัน ซึ่งมีประโยชน์และประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าใช้ควบคู่กับ Career Test แล้ว จะยิ่งทำให้ค้นหาตัวเองจนเจอได้ง่ายขึ้น … น่าเสียดายแค่ว่า ส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้กันเท่านั้นเอง

Personal Statement คืออะไร ?

จริง ๆ แล้ว Personal Statement เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องใช้ในการยื่นสมัครมหาวิทยาลัยที่อังกฤษผ่านระบบ UCAS Application ตอนต้น Year 13 แต่นั่นไม่ได้ความว่าเราควรเริ่มเขียน Personal Statement กันตอนต้น Year 13 นะครับ

Personal Statement คือ Essay ความยาวไม่เกิน 4,000 ตัวอักษร ที่เราจะต้องเขียนโน้มน้าวจูงใจ มหาวิทยาลัยทั้ง 5 แห่งที่เราเลือกผ่าน UCAS Application เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าเรา Born to be ในสิ่งที่เรากำลังจะเลือกไปเรียนอย่างไร อยากให้จินตนาการความสำคัญของมันว่า มันคือการเล่าเรื่องทั้งชีวิต ให้เหลือแค่ 4,000 ตัวอักษร แล้วชัดเจนตรงประเด็นพอที่จะทำให้มหาวิทยาลัยเชื่อความ Born to be ของเราได้ มันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะเขียนกันได้ภายในเวลาไม่กี่วัน หรือ ไม่กี่สัปดาห์ เอาจริง ๆ มันต้องเขียนกันเป็นปี ๆ ขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ เขียนไป ๆ ปรับปรุงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ Personal Statement ที่ดีที่สุดออกมา

Personal Statement จะออกมาดีได้หรือไม่ ขึ้นกับหลายปัจจัย อย่างแรก เราต้องเขียนในสิ่งที่เรา Born to be เพราะถ้าเราฝืนเขียนสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเอง เราจะไม่มีวันทำมันออกมาได้ดีเลย อย่างที่สอง เราต้องอยู่ในโรงเรียนที่ครูมีประสบการณ์ในการฝึกเขียน Personal Statement ให้เรา เป็นครูที่ผ่านการอ่าน Personal Statement มาเป็นจำนวนมาก หรือเคยเป็นคณะกรรมการคัดเลือกของมหาวิทยาลัยมาก่อน จึงจะแนะนำเราได้อย่างถูกต้องว่าที่เราเขียนมามันดีพอแล้วหรือยัง และอย่างที่สาม เราต้องมีเวลาที่มากพอในการเขียน คำถามก็คือ เราควรเริ่มเขียน Personal Statement ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไร ?

เริ่มเขียน Personal Statement เมื่อไรดี ?

โรงเรียนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ว่ามันสำคัญอย่างไร มักจะบอกเด็ก ๆ ว่าให้เริ่มเขียนตอนต้น Year 13 คือก่อนทำ UCAS Application แค่ไม่กี่วัน โรงเรียนที่ดีขึ้นมาหน่อย จะเริ่มให้ทำตั้งแต่เริ่มขึ้น Year 12 แล้วแนะนำเด็ก ๆ ในการทำสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมเพื่อให้มีเรื่องมาเขียนใน Personal Statement มากขึ้น อย่างไรก็ดี คำแนะนำของเราคือ ให้เริ่มเขียน Personal Statement ฉบับแรกตั้งแต่ขึ้น Year 10 เลยครับ

เมื่อทำ Career Test เสร็จแล้วตอนก่อนขึ้น Year 9 พอขึ้น Year 10 ให้เริ่มเขียน Personal Statement ฉบับแรกบนฐานของอาชีพที่เราสนใจจะทำอ้างอิงมาจากผล Career Test โดยเป้าหมายของฉบับแรกนี้คือ เพื่อใช้ยื่นสมัครไป Summer School ดี ๆ ในต่างประเทศก่อนเราจะขึ้น Year 11 เพราะเดี๋ยวนี้ Summer School ดี ๆ ที่คุ้มค่าแก่การไปจะดู Personal Statement ด้วยเพื่อดูว่าเด็กเริ่มสนใจที่จะค้นหาตัวเองให้เจอในสิ่งที่ตนเอง Born to be แล้วหรือยัง

จากนั้นเมื่อขึ้น Year 11 ก็ให้เริ่มเขียน Personal Statement ฉบับต่อไป เป็น version ที่ปรับปรุงขึ้นจากครั้งแรกที่เขียน เป้าหมายก็เหมือนเดิมคือ เพื่อใช้ยื่นสมัคร Summer School ดี ๆ ก่อนขึ้น Year 12 อย่าง เช่น Summer School ที่ Cambridge Oxford เป็นต้น และเมื่อขึ้น Year 12 แล้วก็ให้เขียนอีกครั้งหนึ่งคราวนี้คือจะเริ่มเตรียมเป็น version สำหรับการสมัครมหาวิทยาลัยในปีต่อไปแล้ว แต่ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์ในการสมัคร Summer School เพิ่มเติมก่อนขึ้น Year 13 หรือใช้ในการหาที่ฝึกงานทำ Work experience ดี ๆ ได้ด้วย

สุดท้าย เด็กที่เขียน Personal Statement มาตั้งแต่ Year 10 พอถึงวันที่เปิดเทอม Year 13 เขาจะมี Personal Statement ที่พัฒนามาแล้วอย่างน้อย 3 ปี ทำให้อันสุดท้ายที่จะเขียนเพื่อยื่นสมัครมหาวิทยาลัยผ่าน UCAS Application นั้นออกมาเป็น Personal Statement ที่ดีที่สุด

เราเขียน Personal Statement หรือ Personal Statement เขียนชีวิตเรา ?

การเริ่มเขียน Personal Statement ครั้งแรกตอน Year 10 เราอาจจะได้ version ที่ไม่ได้ดีเท่าไร ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรออกมา แต่เราก็จะเริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้น ว่ามีอะไรแล้ว ทำอะไรมาแล้วบ้าง และยังขาดอะไร จึงเริ่มไปเติมเต็มสิ่งที่ขาดเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือเพิ่มเติม การค้นคว้าให้มากขึ้น การทำกิจกรรมให้หลากหลายเพื่อสำรวจความสนใจที่อาจจะเคยมองข้ามไป

จนกระทั่งผ่านไป 1 ปี กลับมาเขียน Personal Statement ใหม่ตอน Year 11 เราจะกลายเป็นคนใหม่ ที่ชีวิตผ่านอะไรมามากขึ้น เขียนใหม่คราวนี้ ก็จะได้ version ที่ดีขึ้น แต่มันก็อาจจะยังขาดอะไรบางอย่างที่เราคิดว่ายังสมควรจะเติมเต็มต่อไป เราก็เริ่มไปทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น เริ่มไปฝึกงาน อ่านหนังสือค้นคว้าให้มากขึ้น ไป Summer School ที่ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น

แล้วพอผ่านไปอีก 1 ปี คราวนี้อยู่ Year 12 แล้ว ไม่ใช่แค่อายุที่โตขึ้น แต่ประสบการณ์ต่าง ๆ ก็มากขึ้นไปด้วย ลงมือเขียน Personal Statment คราวนี้ก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น สามารถโฟกัสไปยังอาชีพที่ใช่ได้มากขึ้น คราวนี้ใน Year 12 ก็ได้เวลาเจาะลึกในอาชีพที่ต้องการให้ย่อยละเอียดลงไปอีก ด้วยการอ่านหนังสือค้นคว้าต่าง ๆ ที่เฉพาะทางขึ้น หา Work experience ที่บีบแคบมากขึ้น ไป Summer School ที่โฟกัสไปในอาชีพที่เราต้องการมากขึ้น

สุดท้ายขึ้น Year 13 เราผ่านประสบการณ์ทั้งหมดที่ควรจะมีมาแล้ว เราหาตัวเองเจอแล้วด้วยการไปทำสิ่งต่าง ๆ มามากมาย พอเขียน Personal Statement ออกมา มันจึงสมบูรณ์แบบที่จะยื่นสมัครมหาวิทยาลัยดี ๆ ในประเทศอังกฤษแล้วทำให้เขาเชื่อได้ว่าเรา Born to be ในสิ่งที่เราจะเลือกจริง ๆ

แม้จริง ๆ แล้วจะเป็นเราที่ลงมือเขียน Personal Statement แต่ทุกครั้งที่เราเขียนแล้วเรียนรู้ รู้จักตัวเองให้มากขึ้นว่ามีอะไรแล้ว ต้องทำอะไรเพิ่ม แล้วไปลงมือทำสิ่งต่าง ๆ อย่างที่สมควรจะทำ เมื่อนั้นชีวิตเราก็จะมีอะไรมากขึ้น มีความพร้อมขึ้น มีความสมบูรณ์แบบขึ้น เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่แค่เราที่เป็นคนเขียน Personal Statement แต่ Personal Statement เองก็เขียนชีวิตเราขึ้นมาเช่นกัน

และนั่นแหละครับ คือสิ่งที่เราคุยกันไว้ตั้งแต่ต้นว่า Personal Statement ช่วยให้เด็ก ๆ ค้นหาตัวเองเจอได้อย่างไร

เพราะการจะค้นหาตัวเองเจอ เริ่มต้นคือเราต้องรู้จักตัวเองก่อน เราต้องสะท้อนสิ่งที่อยู่ในหัวในความคิดของเราออกมาบน Personal Statement ก่อน จากนั้นเราก็ไปค้นคว้า ไปอ่านหนังสือ ไปทำกิจกรรม ไปฝึกงาน ไปทำสิ่งต่าง ๆ จนเรารู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วเราก็สะท้อนสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีมากขึ้น ลงมาบน Personal Statement อันต่อ ๆ ไป จนเราเจอตัวเองมากขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่แหละครับที่ว่าทำไม Personal Statement ถึงเป็นเครื่องมือให้เด็ก ๆ ค้นหาตัวเองจนเจอ

เพราะฉะนั้น ถ้าลูกคุณพ่อคุณแม่ขึ้น Year 9 แล้ว เริ่มจากทำ Career Test เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอในเบื้องต้นก่อน จากนั้นใช้เครื่องมืออย่างการเขียน Personal Statement ค่อย ๆ ขัดเกลาตัวเองไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็จะค้นหาตัวเองจนเจออย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่แค่จะทำให้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ในอังกฤษได้ แต่จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตในวันข้างหน้าได้อย่างมีความสุขด้วยครับ