บางคนอีกปีเดียวจะเรียนจบแล้ว แต่ก็ไม่ไหว เพราะทางที่เดินอยู่มันเดินต่อไม่ได้จริง ๆ

หลายปีก่อน เด็กคนหนึ่งตัดสินใจลาออกจากการเรียนปีสุดท้าย ด้าน Engineering ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษด้วยสภาพจิตใจที่อยู่ในจุดที่ย่ำแย่สุด ๆ และยังไม่รู้จะเอายังไงต่อไปกับชีวิต

จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมนี้ เริ่มต้นจากเรื่องที่น่ายินดี …

เด็กคนนี้สนใจเรื่อง Finance และ Investment มาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องมากมาย เขาลงเรียนคอร์สออนไลน์กับต่างประเทศโดยไม่ได้มีใครบังคับเพื่อที่จะเรียนรู้ให้ได้มากขึ้น เขาเข้าแข่งขันการลงทุนเสมือนจริง และชนะได้รางวัลมา ใครต่อใครก็เห็นว่าเขาเกิดมาเพื่อที่จะเอาดีทางด้านนี้จริง ๆ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เด็กคนนี้หาตัวเองเจอว่า Born to be อะไรตั้งแต่ยังเล็ก

ยกเว้นคุณพ่อของเขา …

คุณพ่อของเด็กคนนี้เป็น Engineer ที่มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสูง มีความภาคภูมิใจในงานของตนเองมาก ๆ ทุกวันนี้ผันตัวมาเป็นนักลงทุนทางด้านการเงินที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และเพราะมีเส้นทางชีวิตมาแบบนี้ จึงเชื่อว่าลูกก็น่าจะเจริญรอยตามและสำเร็จแบบนี้ได้เหมือนกัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นค่านิยมหนึ่งที่ปรากฎในสังคมของเรา ว่าถ้าวันหนึ่งจะไปทำงานสาย Business สาย Financial สาย Investment ให้ไปเรียนจบด้าน Engineering มาก่อน จะได้มีวิธีที่คิดที่เป็นเหตุผล แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และมีทักษะทาง Mathematics ที่สูง จนวันหนึ่งถ้าไปเรียนต่อด้าน Business, Financial, หรือ Investment จริง ๆ ก็จะง่ายมาก ๆ

และค่านิยมนี้ ก็เป็นสิ่งที่ครอบครัวนี้หนีไม่พ้น …

เกิดการทะเลาะกันในบ้านใหญ่โต เมื่อเด็กคนนี้แสดงความตั้งใจว่าจะเข้าเรียน Top Universities ที่ประเทศอังกฤษในด้าน Finance and Investment ให้ได้ คุณพ่อของเขายืนยันว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี และเล่าซ้ำไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรถึงความสำเร็จของตัวเอง จากการเรียนจบในด้าน Engineering ก่อน จนมีประสบการณ์ระดับหนึ่งแล้วกระโดดเข้าสู่วงการ Investment

เดิมทีเด็กคนนี้ตั้งใจจะเลือกเรียน A-level ในวิชา Math, Further Math, Economics, และ Psychology เพื่อใช้เป็น Profile ที่ดูดีที่สุดในการเข้าเรียนต่อด้าน Finance and Investment แต่คุณพ่อยื่นคำขาดว่าต้องเปลี่ยน Psychology ออกเป็น Physics เพื่อให้เป็น Profile ที่ดูดีที่สุดสำหรับการสอบเข้าเรียนต่อด้าน Engineering

สุดท้ายเด็กคนนี้ก็ต้องยอมตามนั้น แต่ด้วยความที่ตัวเองไม่ได้เหมาะกับด้าน Engineering จริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เกรดวิชา Physics ในระดับ A-level ออกมาแค่ C ในขณะที่วิชา Math, Further Math, และ Economics ได้ A* ทั้งหมด และด้วยความที่ตัวเองไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรที่ใช่เลยสำหรับ Engineering จึงถูก Top Universities ด้าน Engineering ทุกที่ปฏิเสธทั้งหมด สุดท้ายได้เรียนใน University แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ถึอว่าโดดเด่นอะไรสำหรับด้าน Engineering นัก

ในเมื่อคนมันไม่ใช่ แค่สอบเข้าไปได้ก็ลำบากแล้ว แต่มันยังไม่จบแค่นั้น …

ปีหนึ่งผ่านไป ยังพอเรียนได้บ้างในบางวิชา เพราะยังมีวิชาที่เป็น Mathematics ที่ชอบอยู่บ้าง อย่างไรก็ดี วิชาที่เป็น Engineering จริง ๆ นั้นทำได้แค่พอผ่านเท่านั้น

พอขึ้นปีสอง หลาย ๆ อย่างยากขึ้น เด็กคนนี้เริ่มส่งงานไม่ทัน เริ่มไม่เข้าเรียน เริ่มทำ Quiz ทำสอบต่าง ๆ ได้คะแนนแย่ลงเรื่อย ๆ ผ่านปีสองไปได้แบบฉิวเฉียด แต่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเรียนไม่จบ

และไม่ทันต้องรอให้ University พิจารณาให้ออก เด็กคนนี้เผชิญกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่มาก ๆ ในปีสุดท้าย เมื่อเรียนเนื้อหาของปีที่สามไม่ได้เลย เนื่องจากเป็น Engineering ตัวเต็มที่เตรียมต่อยอดไปสู่การทำ Research ในระดับ Master Degree ทั้งใจไม่รัก ทั้งเรียนไม่รู้เรื่อง ทั้งไม่ใช่ความถนัด ทั้งการห่างหายจากด้าน Investment ที่ตัวเองสนใจไปนาน เพราะต้องมัวแต่เอาเวลามาใช้กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ทุกอย่างรุมเร้าไปเสียหมด

จนจุดแตกหักมาถึง …

สุดท้ายเขายื่นคำขาดกับคุณพ่อ จะไม่กลับไปเรียนอีกแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จะไม่กลับไปเรียนอีกต่อไปแล้ว

เส้นทางที่คุณพ่อมั่นใจ เส้นทางที่คุณพ่อเคยใช้แล้วประสบความสำเร็จ กลายเป็นเส้นทางสู่ความล้มเหลวของลูก เป็นทางที่เดินต่อไม่ได้ไปเสียแล้ว

ผมไม่สามารถเล่าบทสรุปของเรื่องที่เกิดขึ้นไปได้มากกว่านี้ แต่ผมอยากชวนตั้งคำถามมากกว่า …

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ค่านิยมเกี่ยวกับการเรียน เส้นทางการประสบความสำเร็จบางอย่าง จะต้องถูกพิจารณากันใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องการเรียน Engineering ก่อนแล้วจึงไปเรียนด้าน Finance and Investment เท่านั้น ยังมีค่านิยมอีกหลายอย่างมาก ๆ ที่ไม่เคยถูกตั้งคำถามเลยว่า มันถูกต้องจริง ๆ หรือไม่ เช่น

  • เรียนหมอแล้วจะมั่นคง
  • เรียนอะไรก็ได้ง่าย ๆ สบาย ๆ ยังไงก็มีกิจการที่บ้านอยู่แล้ว
  • เรียนอะไรก็ได้ที่ได้ Connection เยอะ ๆ
  • อย่าเรียน Art เลยเพราะทำมาหากินไม่ได้
  • อย่าเรียน Science เดี๋ยวได้เป็นลูกจ้างห้อง Lab
  • ฯลฯ

เพราะเราทุกคนล้วนแตกต่าง เด็กแต่ละคนจึงมีสิ่งที่ตัวเอง Born to be มีสิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนใคร มันย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีที่เด็กสักคนจะตอบได้ว่าสิ่งนั้นของตัวเองคืออะไร แล้วเดินตามเส้นทางนั้น

แต่มันก็น่าเสียใจและน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าสิ่งที่ถูกค้นพบนั้น ถูกทำลายลงเพียงเพราะความเชื่อ ค่านิยม หรืออะไรต่าง ๆ ที่ไม่อาจใช้กับเด็กคนนั้นได้จริง ๆ

ทางที่เดินต่อไม่ได้ เดินต่อไปก็ลงเหวเท่านั้น … ค่านิยมและความเชื่อบางอย่าง จะนำไปสู่ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง …

เราจะเอาแบบนี้กันจริง ๆ หรือครับ