จากประสบการณ์ในการเป็น Consult ให้กับเด็กที่สนใจไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับมหาวิทยาลัย สิ่งที่เราเน้นย้ำให้กับเด็ก ๆ เสมอก็คือ หลักสูตรอังกฤษ ต้องการเด็กที่เก่งทั้งด้าน Academic และหาตัวเองเจอ เขาชอบเด็กที่ Born to be เพราะฉะนั้นเราจะสนใจแค่เรื่อง Academic อย่างเดียวไม่ได้ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องยื่น UCAS ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ขอดูแค่เกรด IGCSE หรือ A-Level หากแต่ยังขอดูในส่วนของความ Born to be ของเด็กผ่านการเขียน Personal Statement, Reference รวมไปถึงการทำ Admissions Tests และหลายที่เรียก Interview ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเรามีเป้าหมายว่าอยากไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เราก็ต้องทำ Profile ของตัวเองให้เหมาะสมและดีพอที่ทางมหาวิทยาลัยจะเลือก แต่ก่อนที่เราจะรู้ว่าเราเหมาะสมกับอะไร เราเก่งอะไร เราถนัดอะไร เราต้องศึกษาตัวเองอย่างรอบคอบก่อน เราจะพามารู้จักกับ หลัก 3E: Explore, Experience, Expert หลักง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ รู้จักตัวเองก่อนเลือกคอร์สเรียนในมหาวิทยาลัยที่อังกฤษกันค่ะ

Explore

ในด้านของ Academic เด็ก ๆ จะได้ใช้เวลาตั้งแต่ Year 9 – Year 11 ในการเรียนวิชา IGCSE ให้คลอบคลุมที่สุดประมาณ 9-11 วิชา เพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสในการศึกษาวิชาต่าง ๆ อย่างดี ก่อนที่จะเลือกวิชาใน A-Level ต่อไป ตัวอักษร ‘G’ ใน IGCSE คือคำว่า General เพราะฉะนั้นในแต่ละวิชาไม่ยากเกินความสามารถที่จะทำคะแนนให้ดี หรือตั้งใจให้ได้คะแนน A* หรือ 9 มา แต่ถ้าตรงกันข้าม เด็ก ๆ เรียนแบบสบาย ๆ ก็จะไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง เมื่อเรียนไม่ได้ก็ทิ้งความพยายามไปเพราะคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ผลลัพธ์ที่ได้คือมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นและอาจจะทำให้เด็ก ๆ เลือกเส้นทางผิดไปในที่สุด เพราะฉะนั้นเด็ก ๆ ควรใช้ช่วงเวลา 3 ปีนี้อย่างคุ้มค่าและเต็มที่มากที่สุดเพื่อเป็นข้อมูลชั้นดีในการเลือก

ไม่เพียงแต่ด้าน Academic เท่านั้นที่เด็ก ๆ ควรให้ความสำคัญ เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า หลักสูตรอังกฤษต้องการเด็กที่มีความ Born to be และอยากจะเป็น Specialist ในด้านใด ด้านหนึ่ง เพราะฉะนั้นในด้านของ Career Path หรืออาชีพที่ตัวเองอยากจะเป็นในอนาคตเราก็ต้องมีการสำรวจตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เช่นกัน วิธีการที่ง่ายที่สุดในการ Explore ตัวเองด้านนี้คือ ให้ Career Test ช่วยในการค้นหาตัวตน เพื่อช่วยในวางแผนการเรียนให้เรา ทั้งในด้านการเลือกวิชา IGCSE A-Level หรือ IB ที่มีความเหมาะสม ‘การอ่านหนังสือ’ เพราะสามารถหยิบจับได้ทุกเมื่อ หรือลองดูว่ามี Summer School ที่ไหนที่ช่วยให้เรามีความเข้าใจในด้าน Career Focus มากขึ้น หรือการออกไป Work Experience เพื่อให้เกิดการลงมือทำจริง ๆ เท่านั้นเราก็จะได้สำรวจตัวเองตลอดเวลาก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเพียงแค่ 1 เดียวในตอนเรียน A-Level และเข้าไปในระดับมหาวิทยาลัย

Experience

เมื่อเราได้สำรวจตัวเองแล้วว่า เรามีความชอบและความถนัดในเรื่องไหน สิ่งที่เราควรทำลำดับถัดไปคือการไปทำสิ่งนั้น ในด้านของ Academic ถ้าเรียนมาจนถึง Year 11 แล้ว สิ่งที่จะเกิดก็คือการสอบ IGCSE ในตอนเทอม 3 ลองถามตัวเองว่าได้ลองฝึกทำ Past Papers บ้างหรือยัง หรือตอนนี้เราเรียน IGCSE จบแล้วหรือยัง เพราะคะแนน IGCSE มีความสำคัญมากต่อเรา เนื่องจากว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษจะขอดูคะแนน IGCSE ด้วย เพราะฉะนั้นในช่วงตั้งแต่ Year 9 จนถึงก่อนขึ้น Year 11 ควรทำ IGCSE ให้จบ เพื่อที่ในตอน Year 11 จะได้มีเวลาทำ Past Papers หรือข้อสอบเก่าย้อนหลัง 10 ปีขึ้นไป เพื่อให้เกิดความชำนาญในการทำโจทย์

และในด้านของ Born to be หลังจากที่ศึกษาแล้วว่ามี Summer School หรือ Work Experience ที่ไหนที่เหมาะสมกับเรา ก็แนะนำให้ไปเข้าร่วม สิ่งนี้สามารถทำได้ตั้งแต่ Year 9 เพราะการไปลงเรียน Summer School หรือ Work Experience ที่เน้นด้าน Career Focus จะช่วยให้เราเข้าใจใน Career นั้น ๆ ได้มากขึ้น เพราะเราได้ลงเรียนจริง ๆ ได้ลงมือทำจริง ๆ ในขั้นตอนนี้ยิ่งทำมาก ก็ยิ่งมีข้อมูลที่จะตัดสินใจว่าสุดท้ายแล้ว เราอยากเรียนอะไร และเราอยากทำอาชีพไหนในอนาคตได้แม่นยำมากขึ้น

Expert

ไม่มีคำว่า ‘มือสมัครเล่น’ ในหลักสูตรอังกฤษ นั่นหมายความว่า ถ้าอยากเรียนให้รอดในหลักสูตรนี้ ‘ต้องหาตัวเองให้เจอ’ เท่านั้น หลังจากสำรวจจนเองอย่างมั่นใจแล้วว่าเราเหมาะสมและจะไปต่อในมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ สิ่งที่เราควรทำให้ได้ก่อนขึ้น A-Level คือ ทำให้ตัวเองเป็น Expert ในวิชาที่ตัวเองถนัดและจะไปต่อใน A-Level ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะไม่มาเสียใจภายหลังว่าเลือกผิดวิชา และในด้านของ Born to be เพื่อให้เราเลือกคอร์สให้ถูกต้องกับความถนัดของเรา เราได้ไปลองเรียน Summer School หรือไป Work Experience มาจนมั่นใจแล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่ได้เริ่มหา ถ้ายังไม่ได้เริ่มทำ ก่อนที่จะสายเกินไป ให้เริ่มได้แล้ว ถ้ายังไม่เริ่ม เมื่อขึ้น Year 12 ไปจะลำบากมาก เพราะไม่เพียงแต่ด้าน Academic ที่จะต้องทำคะแนนให้ได้ดีเท่านั้น แต่ในด้านของ Born to be เด็ก ๆ จะต้องเขียน Personal Statement ให้จบ เพื่อจะได้ยื่นให้ทันในตอน Year 13 การเขียน Personal Statement ให้โชว์ความเป็นตัวเองมากที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้เพียงแค่ 1 เดือน หรือ 2 เดือน เราควรให้เวลากับตัวเองมากพอ จนตกตระกอนเป็นเวอร์ชันที่ตอบโจทย์ความเป็นตัวเรามากที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องเป็น Expert ในอาชีพที่เราอยากจะเป็นให้ได้ก่อนขึ้น Year 12 เพราะถ้ารอ Year 12 ที่ต้องทำหลายสิ่ง ผลลัพธ์ก็คือจะไม่ทันนั่นเอง

เมื่อเราได้ Explore ตัวเองจนรู้จักทุกมุมของตัวเองแล้ว และได้ไปลอง Experience จนมีความมั่นใจในสิ่งที่เลือกแล้ว เราก็จะ Expert ในสิ่งที่เราเลือกมา เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะได้เรียนในคอร์สที่ใช่ ในมหาวิทยาลัยที่ใช่ค่ะ