วันนี้ผมจะเล่าถึงเคสหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ที่เด็กคนหนึ่งเกือบจะต้องล้มเหลวในเรื่องของการเรียนไปเสียแล้ว โชคยังดีที่พ่อแม่ตัดสินใจบางอย่างและทำให้สุดท้ายแล้วเรื่องราวจบลงด้วยความสำเร็จของลูก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่ผมขออนุญาตสมมติชื่อเด็กเพื่อความเป็นส่วนตัว ผมจะขอเรียกเขาว่าบอสก็แล้วกันครับ
บอสเคยเป็นเด็กเรียนเก่งในโรงเรียนหลักสูตรไทย แต่พ่อแม่เล็งเห็นในศักยภาพและโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่า จึงพาบอสย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ระบบ IB โรงเรียนหนึ่งในช่วง Year 10 ซึ่งบอสค่อนข้างมีปัญหาในการปรับตัวมาก ๆ เพราะแม้บอสจะเคยเป็นเด็กเรียนเก่งทำคะแนนได้ดีในหลาย ๆ วิชา แต่บอสมีทักษะทางภาษาอังกฤษที่ไม่ดีนัก ส่งผลให้เมื่อต้องย้ายมาเรียนโรงเรียนอินเตอร์แบบเต็ม ๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษล้วน ๆ ในการเรียน คะแนนวิชาหลัก ๆ ที่บอสควรจะทำได้ดี ก็เลยไม่ดีไปด้วย เพราะทักษะภาษาอังกฤษเป็นต้นเหตุ
จริง ๆ แล้วสิ่งที่บอสทำได้ดีที่สุด คือ วิชาใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับการคำนวณและตัวเลข บอสเริ่มเรียนเนื้อหาเลข ม.ปลาย ด้วยตัวเองชนิดที่ซื้อหนังสือมานั่งอ่านเองทำโจทย์เองตั้งแต่อยู่ ม.ต้น ก่อนจะย้ายมาเรียนที่โรงเรียนอินเตอร์แห่งนี้ ส่วนวิชาอื่น ๆ นั้นบอสก็พอทำได้ แต่พอมีภาษาอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ ๆ เมื่อไร บอสจะมีปัญหาทันที และปัญหาที่แท้จริงก็เกิดขึ้น เมื่อบอสขึ้น Year 12 ซึ่งเป็นชั้นปีที่บอสจะต้องเริ่มทำ IB Diploma
IB Diploma คือหลักสูตร 2 ปีสุดท้ายของระบบ IB ที่นักเรียนทุกคนจะต้องเรียน 6 วิชา โดยใน 6 วิชานี้ทุกคนจะต้องเลือกวิชาอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า
- ต้องมี 2 วิชาเป็นวิชาทาง Languages
- ต้องมี 1 วิชาเป็นวิชาทาง Mathematics
- ต้องมี 1 วิชาเป็นวิชาทาง Sciences
- ต้องมี 1 วิชาเป็นวิชาทาง Social Sciences
- ต้องมี 1 วิชาเป็นวิชาทาง Creativity หรือไม่งั้นก็เพิ่ม Sciences หรือ Social Sciences เข้าไปอีก 1 วิชา
และใน 6 วิชานี้ ให้เลือก 3 ตัวเป็นวิชาหลักคือ HL (Higher Level) และอีก 3 ตัวเป็นวิชารองคือ SL (Standard Level)
สุดท้ายบอสเลือกเรียน Maths, Physics, Chemistry เป็น HL ด้วยความตั้งใจที่จะเรียนต่อด้าน Chemical Engineering และเลือก English, Thai, Economics เป็น SL เพราะมันจำเป็นต้องเลือก จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้อยากเรียนแต่อย่างใด
แน่นอนว่าบอสทำคะแนนวิชา Maths ได้ดีมาก แม้จะติดปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษที่ยังแก้ไม่หลุดมาจากปีก่อน ๆ แต่ก็พอจะผ่านไปได้ เพราะมีความชอบในวิชา Maths เป็นอย่างมาก ส่วนวิชา Physics และ Chemistry ก็พอทำได้ดีอยู่แต่ก็ไม่ดีเท่า Maths แต่สิ่งที่เป็นปัญหามาก ๆ ของบอสก็คืออีก 3 วิชาที่เหลือคือ English, Thai และ Economics ซึ่งอย่างที่บอกไปครับ บอสไม่ชอบเอาเสียเลย และปัญหาภาษาอังกฤษของบอสก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นอุปสรรคอยู่มาก ๆ
คะแนนเต็มแต่ละวิชาของหลักสูตร IB คือ 7 และบอสจบ Year 12 ด้วยคะแนนจากในโรงเรียนดังต่อไปนี้ครับ
- Maths 7
- Physics 6
- Chemistry 5
- English 2
- Thai 4
- Economics 3
คุณพ่อคุณแม่ของบอสเห็นคะแนนตอนจบ Year 12 ของบอสออกมาแบบนี้ก็ไม่สบาย เพราะดูแล้วก็รู้ว่านี่คือคะแนนที่ค่อนข้างน้อย จึงเอาคะแนนของบอสเข้ามานั่งคุยกับผม ทันทีที่เห็นคะแนน สิ่งเดียวที่ผมพอจะพูดได้ก็คือ “บอสน่าจะไปต่อในเส้นทางนี้ไม่ได้ครับ”
มันปวดใจทุกครั้งที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ แต่เรามาดูความเป็นจริงด้วยเหตุด้วยผลกันครับ
คะแนนรวมของ IB Diplioma มาจาก 6 วิชา วิชาละ 7 คะแนน คือรวมแล้ว 42 คะแนน แต่จะมี Extra points อีก 3 คะแนนเต็มจากการทำ TOK (Theory of Knowledge) และ EE (Extended Essay) ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถอ่านได้จากบทความก่อน ๆ ที่เขียนเกี่ยวกับ IB นะครับว่าคืออะไร เอาเป็นว่าคะแนนรวมทั้งหมดก็คือ 45 คะแนน
ปกติแล้วการจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยระดับท็อป ๆ ดี ๆ ในประเทศอังกฤษได้นั้น คะแนนต่ำ ๆ จาก 45 คะแนน ควรจะอยู่ที่ 38 คะแนนขึ้นไป แต่นี่คะแนนรวมปัจจุบันของบอสอยู่ที่ 27 คะแนน และต่อให้ได้คะแนนพิเศษอีก 3 คะแนนเต็ม ซึ่งโอกาสแทบจะไม่มีเลย ก็จะได้แค่ 30 คะแนน ก็ห่างจากความเป็นจริงไปมาก นั่นหมายความถ้าบอสเลือกที่จะไปต่อคือเรียน Year 13 ให้จบ ด้วยคะแนนเท่านี้ บอสจะไม่สามารถสมัครเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ที่ไหนได้เลย ครั้นจะบอกว่างั้นเข้ามหาวิทยาลัยไหนก็ได้ ไม่ต้องดีก็ได้ คำถามคือแล้วจะทำไปเพื่ออะไร
ณ ตอนนั้นเราเสนอทางเลือกของการลาออกจากโรงเรียนและทำ A-level แทนโดยย้ายไปเรียนที่ใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่า
- A-level เรียนแค่ 3 – 4 วิชาที่เป็นตัวบอสจริง ๆ อย่างกรณีของบอสก็เลือกเรียนแค่ Maths, Further Maths, Physics, Chemistry ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน English, Thai และอีกหนึ่ง Social Sciences แบบ IB อีก
- บอสจะมีเวลาในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ซึ่งถ้าทำอย่างเต็มที่คือทันแน่นอน
- การลาออก ณ จุดนี้ ยังไม่ส่งผลเสียอะไรต่อ profile เพราะคะแนน IB จริงยังไม่เกิดขึ้น
- มันฟังดูเหมือนเป็นการซ้ำชั้น แต่จริง ๆ แล้วมหาวิทยาลัยที่อังกฤษเรียนแค่ 3 ปี สุดท้ายเราจะได้ 1 ปีตรงนี้คืน และจริง ๆ คนไปเรียนปริญญาตรีที่อังกฤษเดี๋ยวนี้หลาย ๆ คนไปตอนอายุ 19 – 20 เป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นทางเลือกนี้ไม่ได้เสียเวลาเลย แถมยังทำให้เรามีฐานที่มั่นคงในการก้าวต่ออีกด้วย
เรื่องราวในวันนั้น มันยากที่จะทำใจ คุณพ่อคุณแม่พยายามที่จะถามทุกวิถีทางว่ามีทางเลือกไหนไหมที่การอยู่ต่อ ทำ IB ต่อจนจบ Year 13 จะเป็นไปได้และบอสจะยังได้รับโอกาสในการไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ดี ๆ อยู่ แต่ไม่ว่าจะพิจารณาในมุมไหน คำตอบก็คือมันเป็นไปไม่ได้เลย คุณพ่อคุณแม่พาบอสกลับบ้านในวันนั้น พร้อมกับบอกว่าขอเวลาตัดสินใจอีกนิดแล้วจะกลับมาคุยกันใหม่
อย่างที่ผมบอกในตอนต้นครับ ปี ๆ หนึ่งเราเจอเคสแบบนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว บางบ้านก็ทำตามที่แนะนำ บางบ้านก็ไม่ได้ทำตามที่แนะนำ ส่วนตัวแล้วเรายอมรับว่าเราทำได้แค่ชี้ทาง สุดท้ายทุกคนก็ต้องเลือกทางของตนเอง แต่ลึก ๆ ก็แอบมีความคาดหวังที่จะเห็นความกล้าหาญของคุณพ่อคุณแม่ ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน ทำในสิ่งที่อาจจะโดนคนรอบข้างตำหนิ ทำในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกเสียหน้า ซึ่งจริง ๆ แล้วของแบบนั้นอาจจะไม่มีอยู่จริงเลยก็ได้ และเมื่อเทียบแล้วอนาคตของลูกนั้นสำคัญกว่ามาก ๆ
สุดท้าย คุณพ่อคุณแม่ของบอสกลับมาคุยกันและตกลงที่จะเอาบอสออกจากโรงเรียน และจะให้เริ่มทำ A-level แต่ขอทำเป็นรูปแบบของ Homeschool ก็คือมาเรียนที่เรา และเราช่วยดูแลทั้งเรื่องวิชาการและเรื่องของการสมัครมหาวิทยาลัยให้ คุณแม่เล่าให้ฟังว่า ญาติ ๆ ในบ้านทุกคนรุมว่าคุณแม่ว่าคิดอะไรแปลกประหลาด คุณแม่ร้องไห้หลายครั้งแล้วในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่คิดดี ๆ แล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอนาคตของลูกหรอก ความดันทุรังที่จะให้ลูกแค่เรียนให้จบโรงเรียนเดิมโดยไม่ได้สนเลยว่าลูกจะเรียนได้ไหม ลูกจะมีความสุขไหม ลูกจะประสบความสำเร็จไหม จริง ๆ แล้วจะเรียกว่าอะไรได้นอกจากเรียกว่าเป็นความเห็นแก่ตัวของตัวเอง คุณแม่ของตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพื่ออนาคตของลูกดีกว่า
บอสเลือกทำ A-level 4 วิชาในวิชา Maths, Further Maths, Physics, Chemistry ในระบบ Homeschool และเราช่วยดูแลเรื่องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพิ่มเติม รวมถึงเรื่องการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยให้บอส สุดท้ายบอสไม่ได้ต้องซ้ำชั้น บอสใช้เวลาแค่ 1 ปี เทียบเท่ากับการอยู่ Year 13 ต่อ และบอสได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยถึง 4 ที่จาก 5 ที่ที่เลือก สุดท้ายบอสจบ A-level ด้วยเกรด A* ในวิชา Maths และ Physics และ A ในวิชา Further Maths และ Chemistry และบอสได้เข้าเรียนที่ University College London (UCL) ซึ่งเป็น top 10 ด้าน Chemical Engineering
เป้าหมายของการเล่าเรื่องนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความต้องการที่จะบอกว่า แต่ละคนย่อมมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง ทางออกที่ดีมีอยู่เสมอ แต่บ่อยครั้งที่ต้องใช้ความกล้าหาญ ต้องยอมสละ ต้องละทิ้งอะไรบางอย่าง เพื่อให้มันเกิดขึ้น ที่เหลือก็อยู่ที่ทุกคนแล้วครับ ว่าเราให้ค่ากับสิ่งใดมากกว่า เราให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากที่สุด ก็หวังว่าเรื่องที่เล่านี้จะเกิดประโยชน์กับทุกท่านที่ได้อ่านนะครับ