ใคร ๆ ก็อยากเห็นลูกของตัวเองมีความสุข
ในช่วงหลัง ๆ มานี้ คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ บ้านที่ได้เข้ามาคุยกันจะเริ่มให้ความสำคัญกับความสุขของลูกมากกว่าประเด็นอื่น ๆ แต่ทั้งหมดนั้นก็จะอยู่บนฐานความเชื่อที่แตกต่างกัน บางบ้านเชื่อว่าการศึกษาที่สูงที่ดีจะทำให้ลูกมีชีวิตที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จ ก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องของการเรียนมาก ๆ บางบ้านเชื่อว่าการมีความมั่งคั่งร่ำรวยจะช่วยให้ลูกมีชีวิตที่สะดวกสบายและนำความสุขมาให้ ก็จะเน้นไปที่การปลูกฝังให้ลูกหาเงินได้เยอะ ๆ บางบ้านก็เชื่อว่าขอแค่ลูกทำในสิ่งที่ลูกรักก็พอแล้วและเดี๋ยวทุกอย่างจะตามมาเอง
ว่าแต่ความสุขที่แท้จริงของลูกคืออะไร ?
แน่นอนว่านิยามความสุขของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายปีมานี้ คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านคงจะพอได้ยินแนวคิดอย่างหนึ่งที่มาจากประเทศญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า Ikigai ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยคร่าว ๆ ก็จะแปลได้ว่า เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งแนวคิดนี้เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ เพราะเป็นแนวคิดการดำรงชีวิตที่ทำให้คนญี่ปุ่นบนเกาะโอกินาว่า มีความสุข มีชีวิตที่ยืนยาว และอยู่อย่างมีคุณค่าจริง ๆ
ตามแนวคิดของ Ikigai มีหลาย ๆ คนสรุปออกมาว่า มันคือการออกตามหา 4 อย่างที่ผสมกลมกลืนกัน จนกลายเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ได้จริง ๆ นั่นคือ
- การทำสิ่งที่ตัวเองรัก
- การทำสิ่งที่ตัวเองถนัด
- การทำสิ่งที่เป็นที่ต้องการของสังคม
- การทำสิ่งที่สังคมยอมจ่ายเงินเพื่อให้เราทำ
ซึ่งเขาว่ากันว่า ถ้าอาชีพที่เราทำ งานที่เราทำ ชีวิตที่เราเป็น ประกอบไปด้วย 4 อย่างนี้อย่างลงตัวแล้ว มันจะเป็นชีวิตที่มีความหมาย มีคุณค่า และแน่นอนว่านั่นคือเป้าหมายชีวิตที่คน ๆ หนึ่งจะมีความสุขได้จริง ๆ
อย่างไรก็ดี การตามหา 4 อย่างที่ว่านี้ที่จะเป็นองค์ประกอบของชีวิตนั้น มันไม่ได้สามารถเริ่มจากจุดไหนก็ได้ มันจะต้องมีจุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง จากนั้นทุกอย่างจะค่อย ๆ เกิดขึ้น เลื่อนไหลไปตามธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น และนั่นจะนำไปสู่ ๆ ความสุขของคน ๆ หนึ่งรวมถึงลูกของคุณพ่อคุณแม่ได้เช่นเดียวกันครับ และจุดเริ่มต้นที่ว่านั้น เราจะเริ่มกันที่การทำสิ่งที่ตัวเองรัก
การทำสิ่งที่ตัวเองรัก
สิ่งที่ลูกของคุณพ่อคุณแม่ชอบที่จะทำคืออะไร สิ่งที่เขาให้ความสนใจ จดจ่อ จมไปกับมัน อยู่กับมันได้ทั้งวันทั้งคืนคืออะไร บางบ้านอาจจะบอกว่าทุกวันนี้ลูกติดเกม ติด Social Media นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่เขารักได้หรือไม่ ถ้าสุดท้ายสิ่งนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตเขา เราก็ไม่อาจจะนับมันได้ แต่คุณพ่อคุณแม่เชื่อเถอะครับว่า มันต้องมีสักเรื่องหนึ่งเป็นอย่างน้อย ๆ ที่ลูกเขาสนใจมาก ๆ พูดถึงทีไรก็อยากจะพูดต่อ ได้ยินมาก็อยากจะค้นคว้า อยากจะลงมือทำเพิ่มเติม คำถามคือสิ่งนั้นคืออะไร
บางครั้งเราอาจจะเรียกว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เรา Born to be ก็ได้ เด็กบางคนอ่านเรื่องเครื่องบินได้ทั้งวันทั้งคืน เด็กบางคนเดินไปตามห้าง ตามร้านค้าก็จะสังเกตวิธีการทำธุรกิจของห้างและร้านค้าเหล่านั้น เด็กบางคนเวลาเห็นคนวาดรูป ทำงานศิลปะ ก็สามารถยืนดูอยู่เฉย ๆ ได้เป็นชั่วโมง ๆ และถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตดี ๆ เวลาที่ลูกของเราจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นั่นคือวินาทีที่เขากำลังมีความสุขมาก ๆ เด็กบางคนที่ไม่ค่อยยิ้มแย้ม นี่จะเป็นจังหวะที่เขายิ้มแย้ม ลองสังเกตดูสิครับ
ถ้าคุณพ่อคุณแม่เริ่มเจอแล้วว่าสิ่งที่ลูกของตัวเองรักที่จะทำ รักที่จะให้ความสนใจเป็นพิเศษคืออะไร นั่นคือข่าวดีแล้วครับ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาสามารถทำมันได้ทั้งชีวิตอย่างมีความสุข ต่อไปคือทำอย่างไรลูก ๆ ถึงจะทำสิ่งเหล่านั้นได้ดีมากขึ้น และนั่นคือขั้นตอนที่สองครับ
การทำสิ่งที่ตัวเองถนัด
การรู้ว่าตัวเองรักอะไร ตัวเอง Born to be ที่จะทำอะไร เริ่มแรกอาจเป็นเพียงแค่ความคิด อาจเป็นเพียงการได้เห็นผู้อื่นทำ แต่มันจะไม่สามารถนำพาไปสู่ชีวิตที่ดีได้เลย หากปราศจากการลงมือทำอย่างต่อเนื่องด้วยตนเอง ถ้าคุณพ่อคุณแม่เจอแล้วว่าลูกเขารักที่จะทำอะไร สนใจอะไร Born to be อะไร ขั้นตอนต่อไปคือการทำให้เขาเห็นคุณค่าของการฝึกฝน หรือ Practice ครับ
เราจะเก่งอะไรได้ เราจะต้องฝึกฝน การฝึกฝนจะต้องมี 2 อย่างที่ทำไปควบคู่กัน
- อย่างแรก คือ เรียนรู้ หรือ Learning ด้วยการเรียนรู้จากคนที่เก่งด้านนี้และชอบด้านนี้เหมือนกับเรา การอ่านหนังสือเพิ่มเติม การค้นคว้าหาข้อมูลให้มากขึ้น แต่แน่นอนว่าแค่เรียนรู้อย่างเดียวไม่พอ ถ้าขาดอย่างที่สอง
- อย่างที่สอง คือ การลงมือทำ หรือ Doing เปรียบได้กับการว่ายน้ำ ถ้าเราเอาแต่เรียนรู้อยู่บนบกว่าการว่ายน้ำต้องทำอย่างไร มีท่าอย่างไรบ้าง แต่เราไม่เคยกระโดดลงสระเพื่อว่ายน้ำจริง ๆ เลย เราย่อมทำไม่เป็น
สิ่งที่ดีมาก ๆ ของการฝึกฝนคือ ลูกของคุณพ่อคุณแม่จะได้จดจ่อ หมกมุ่น อยู่กับสิ่งที่เขารักและชอบมากขึ้น ได้ค้นคว้าให้ลึกขึ้น ได้ลงมือทำให้มากขึ้น และนั่นจะยิ่งทำให้เขาชอบสิ่งนั้นรักสิ่งนั้นมากขึ้นไปอีก และเมื่อรักขึ้นไปอีก ก็อยากจะทำให้มากขึ้นไปอีก ก็จะฝึกฝนให้มากขึ้นไปอีก วนกันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้
สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการผสมผสานกันที่ลงตัวของสิ่งที่รัก กับสิ่งที่ถนัด ก็จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า Passion ที่ใคร ๆ เขาชอบพูดกันว่า ให้หา Passion ของชีวิตตัวเองให้เจอนั้น จู่ ๆ เดินไปหาไม่มีวันเจอหรอกครับ มันต้องเริ่มจากสิ่งที่รัก และจุดไฟให้ติดด้วยการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นสิ่งที่เราถนัด และเมื่อ 2 สิ่งนี้รวมกัน นั่นแหละครับคือ Passion จริง ๆ
ถ้าชีวิตของลูกคุณพ่อคุณแม่ ได้ทำในสิ่งที่เขารัก ที่เขาถนัด และเป็น Passion ในทุก ๆ วันแล้ว ความสุขที่เกิดกับตัวเองทุกวันย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยยังไม่ได้ต้องไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนอื่นเลย คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วถ้าสิ่งที่รักกับถนัดที่ว่านี้ มันทำมาหากินไม่ได้ล่ะ มันทำให้ลูกร่ำรวยเงินทองไม่ได้ล่ะ แล้วสุดท้ายลูกเขาจะมีความสุขจริง ๆ ไหม เอาเป็นว่าลองคิดตามดูนะครับ เมื่อคน ๆ หนึ่งอยู่กับสิ่งที่เขารักและถนัดตลอดเวลาจริง ๆ สุดท้ายความชัดเจนนี้จะถูกรับรู้ได้โดยคนที่เห็นคุณค่า และนั่นคือ ขั้นตอนที่สามครับ
การทำสิ่งที่เป็นที่ต้องการของสังคม
ความต้องการของสังคมเรามีหลายอย่าง นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับกันก่อน และถ้าลูกของคุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่รักและทุ่มเทในสิ่ง ๆ หนึ่งมากที่สุด และถนัดสิ่งนั้นมาก ๆ คือเป็นสิ่งที่เขามี Passion จริง ๆ สุดท้ายสิ่งที่ลูกของคุณพ่อคุณแม่ทำย่อมเป็นที่ต้องการของสังคมครับ เพราะเมื่อสังคมต้องการแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง ต้องการตอบสนองความต้องการบางอย่าง เขาย่อมต้องวิ่งตามหาคนที่จะช่วยเขาได้จริง ๆ และนั่นก็หมายถึงคนที่มี Passion นั่นเองครับ
จริง ๆ แล้วในอีกทางหนึ่งที่มีพลังมาก ๆ คือ เมื่อลูกคุณพ่อคุณแม่จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก ๆ และฝึกฝนจนถนัดสิ่งนั้นมาก ๆ เขาจะเริ่มมองเห็นว่าสิ่งที่เขากำลังทำนั้น มันจะช่วยคนอื่นได้อย่างไรบ้าง มันจะมีประโยชน์ต่อสังคมและโลกใบนี้อย่างไรบ้าง เขาจะเริ่มทำมันให้ดีขึ้น เขาจะเริ่มสื่อสารมันออกไป ผู้คนจะเริ่มมองเห็น สังคมจะเริ่มต้องการ และเมื่อทุกอย่างไหลเลื่อนไปถึงจุดที่มันควรจะเป็น ลูกของคุณพ่อคุณแม่จะมีชีวิตอยู่ทุกวันด้วยการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นที่ต้องการของสังคม และนั่นคือการมีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมาย หรือ Mission ครับ
ลูกคุณพ่อคุณแม่จะกลายเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาทุกวันอย่างมีเป้าหมาย มีภารกิจที่ต้องทำ มีคนที่ต้องช่วยเหลือ มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ในคุณประโยชน์ที่สามารถทำให้กับคนอื่นได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เงินทองใด ๆ ก็ไม่สามารถจะเข้ามาทดแทนได้ มีงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่พบว่าสุดท้ายคนบางคนที่กลายเป็นโรคซึมเศร้า หรือถึงขั้นปลิดชีพตัวเองนั้น มาจากการที่ตัวเองไม่มีเป้าหมายชีวิต ไม่รู้จะตื่นมาทำไมและทำเพื่อใคร แม้จะมีเงินทองมากมาย มันก็ไม่สามารถเติมเต็มสิ่งเหล่านั้นได้เลย
และเมื่อชีวิตของลูกคุณพ่อคุณแม่เป็นประโยชน์กับคนหมู่มากแล้ว ขั้นตอนที่ 4 จะตามมาเองโดยอัตโนมัติครับ
การทำในสิ่งที่สังคมยอมจ่ายเงินเพื่อให้เราทำ
ถ้าอยากได้เงิน ต้องรู้ก่อนว่าเงินมาจากผู้คน และผู้คนจะจ่ายเงินให้เรา เมื่อเราแก้ปัญหาให้กับเขา การที่รักในสิ่งที่เราทำมาก ๆ และเราก็ถนัดมันมาก ๆ จนเราเป็นมืออาชีพในด้านนี้ แถมยังเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม มันย่อมเป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้วว่าเงินทองมันจะไหลมาเทมา เพราะฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่กังวลว่าลูกจะมีเงินใช้ไหม จะมั่งคั่งร่ำรวยไหม เพียงแค่เริ่มอย่างถูกจุดคือเริ่มจากสิ่งที่รัก แล้วฝึกฝน แล้วคิดที่จะช่วยเหลือผู้คนในสังคม สุดท้ายคำตอบเรื่องเงินทองก็ไม่ต้องคิดอีกต่อไปครับ เพราะมันสมบูรณ์แบบในตัวเอง
การเริ่มที่ผิดจุดคือ ไปเริ่มจากว่าอาชีพไหนทำเงินได้ดี ทำอะไรแล้วได้เงินเยอะสุด โดยไม่ใช่สิ่งที่รักและถนัด โดยไม่มี Passion สุดท้ายก็ทำแบบเบื่อ ๆ ไปวัน ๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นมันย่อมไม่ใช่ Mission ย่อมไม่ใช่เหตุผลที่อยากจะตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน สุดท้ายเราคงเคยเห็นตัวอย่างนะครับ คนรวย คนมั่งคั่งมากมาย ที่ยังเที่ยวตามหาความสุขในชีวิตอยู่เลย แล้วเหมือนจะหาไม่เจอสักที นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาโฟกัสผิดจุด และไม่มีชีวิตที่มีความหมายนั่นแหละครับ คนรวยบนโลกแบ่งได้เป็น 2 แบบคือคนรวยที่มีความสุข กับ คนรวยที่ไม่มีความสุข คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกของตัวเองเป็นคนรวยแบบไหนครับ ?
ถ้าเราเริ่มทุกอย่างถูกจุด เริ่มจากสิ่งที่รัก ฝึกฝนจนถนัด จนกลายเป็น Passion แล้วมุ่งทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่นให้สังคม ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้โลกของเราดีขึ้น สุดท้ายเงินทองไหลมาเทมา ทุกอย่างก็จะดีตามไปหมด สุขภาพกายดี สุขภาพใจดี เป็นชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้คือการเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่ครับ
สุดท้ายแล้ว ทุกชีวิตย่อมมีวิถีทางของตนเอง ให้ลูกเขาเริ่มที่ตัวเองนะครับ เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น ชีวิตไม่ได้ยาก แค่ไม่ฝืนธรรมชาติ แล้วปล่อยให้มันเป็นไป เชื่อมั่นในตัวลูก สนับสนุนให้เขาทำในสิ่งที่เป็นเขาจริง ๆ ให้กำลังใจเขา อยู่ข้าง ๆ เขา แค่นั้นก็พอแล้วครับ
ขอให้ลูกของคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านมีชีวิตที่ดี มีความสุข สงบ ร่มเย็น เป็นประโยชน์ อย่างที่เขาควรจะเป็นนะครับ