คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจจะเคยรู้จักหนังสือเรื่อง The 7 Habits of Highly Effective People เขียนโดยคุณ Stephen Covey ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือที่เป็นที่นิยมมาเป็นเวลานานสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต และแม้เวลาจะผ่านไปนานมากแล้วตั้งแต่หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1989 แต่หลักการต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ก็ยังสามารถนำมาใช้ชีวิตแม้ในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

หลักการทั้ง 7 ข้อหรือนิสัยทั้ง 7 อย่างที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้นั้น จริง ๆ แล้วไม่ได้เหมาะกับแค่ผู้ใหญ่ที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตเท่านั้น เพราะยังสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างดีกับเด็ก ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดในชีวิต บทความในวันนี้เราจะมาดูกันครับว่าทั้ง 7 นิสัยที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง และคุณพ่อคุณแม่จะมีส่วนช่วยลูก ๆ ให้เรียนรู้นิสัยเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง

นิสัยที่ 1 – Be proactive – ชีวิตเรา เราต้องรับผิดชอบ

Be proactive หมายถึงความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่อยู่ที่ตัวเราเอง เป็นนิสัยที่ฝึกให้ตัวเองเป็นคนที่รับผิดชอบกับชีวิตของตัวเอง ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมไปเสียหมดจนไม่สามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไปโรงเรียนแล้วเจอครูบางวิชาที่สอนไม่รู้เรื่อง เราควรทำอย่างไร ถ้าเราบอกว่าก็ช่วยไม่ได้ครูสอนไม่รู้เรื่อง แล้วก็เอาแต่บ่นแต่ว่าโดยไม่ลงมือทำอะไร อันนี้แปลว่าเรายอมให้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราเป็นตัวควบคุมว่าชีวิตเราจะเป็นไปต่อในทิศทางไหน แต่ถ้าครูสอนไม่รู้เรื่องแล้วเราคิดในอีกมุมหนึ่งว่า เราต้องรับผิดชอบชีวิตเอง เราต้องเอาตัวรอดให้ได้ เราก็จะเริ่มหาทางออก เช่น ไปอ่านหนังสือเพิ่มเอง ไปลองดูพวกคลิปสอนเรื่องนี้ใน Youtube ไปหาที่เรียนพิเศษเพิ่ม จับกลุ่มติวกับเพื่อน หรืออะไรก็แล้วแต่

การทำแบบนี้แปลว่าเรารับผิดชอบชีวิตตัวเอง เราไม่ยอมที่จะปล่อยให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น มาพาชีวิตเราไปอย่างที่ใจเราไม่ต้องการ ซึ่งนิสัยแบบนี้จะทำให้เราไม่เป็นคนงอมืองอเท้า จะทำให้ชีวิตเราไม่ฝากไว้กับโชคชะตาเพียงเท่านั้น

นิสัยที่ 2 – Begin with the end in mind – เริ่มจากปลายทางที่อยากให้เป็น

นิสัยนี้หมายถึงการเป็นคนมีเป้าหมาย การเห็นภาพอย่างชัดเจนว่าอยากจะให้ปลายทางเป็นเช่นไร ซึ่งการเริ่มต้นจากการมีภาพที่ชัดเจนว่าต้องการอะไรนั้น จะทำให้การเริ่มต้นเดินไปสู่เป้าหมายง่ายมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น การตอบให้ได้ว่าทุกวันนี้ที่ต้องตั้งใจเรียนนั้นจะทำไปเพื่ออะไร แน่นอนว่าเรามักจะถูกปลูกฝังกันว่าการตั้งใจเรียนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าเหตุผลนั้นไม่เพียงพอว่าจะทำไปทำไม ก็ยากมากที่จะตั้งใจเรียนได้สำเร็จ แต่หากเราเริ่มจากการคิดถึงปลายทาง เช่น ลองคิดดูว่าอีก 10 ปีนับจากวันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่บนโลก เราทำอาชีพอะไร เราเก่งเรื่องอะไร เราช่วยเหลือใคร เรามีประโยชน์กับโลกใบนี้ในมุมไหนบ้าง ถ้าภาพนั้นน่าสนุก น่าตื่นเต้น น่าสนใจพอ ให้ลองย้อนนึกดูว่าถ้าต้องการให้ 10 ปีข้างหน้าเป็นแบบนั้น แล้ว 5 ปีข้างหน้าจะต้องเป็นอย่างไร แล้ว 3 ปีข้างหน้าจะต้องเป็นอย่างไร แล้ว 1 ปีข้างหน้าจะต้องเป็นอย่างไร และสุดท้ายวันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้อนาคตทั้งหมดเป็นแบบนั้น

การเริ่มจากปลายทางที่อยากจะไป จะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่าต้นทางเราต้องทำอะไร การเดินทางไปสู่เป้าหมายก็จะมีทิศทาง ไม่สะเปะสะปะ ไม่หลงทาง เพราะรู้ชัดแล้วว่าที่ทำไปนั้นจะทำไปเพื่ออะไร

นิสัยที่ 3 – Put first things first – ทำสิ่งที่ต้องทำก่อน ก่อนสิ่งอื่น ๆ

ชีวิตคนเรานั้นมีสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องทำมากมาย ในวัยเด็กก็เช่นกัน เรามีการบ้านต้องทำ เราต้องอ่านหนังสือ และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องเล่น ต้องคุยกับเพื่อน ต้องผ่อนคลาย ต้องออกกำลังกาย และอื่น ๆ อีกมากมาย

นิสัยที่เรียกว่า Put first things first คือการจัดลำดับความสำคัญ อะไรจำเป็นต้องทำก่อน ก็ต้องทำสิ่งนั้นก่อน แน่นอนว่าในวัยเรียนการทำการบ้าน การอ่านหนังสือ เป็นสิ่งสำคัญ สิ่งนี้ต้องทำก่อน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงค่อยเล่น ค่อยคุยกับเพื่อน ค่อยทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่มีความสำคัญรองลงมา การจัดลำดับความสำคัญไม่ได้แปลว่าต้องตัดสิ่งที่ไม่สำคัญทิ้ง เรายังสามารถเล่น ยังสามารถพักผ่อน ยังสามารถเล่นเกม ดู Youtube คุยกับเพื่อนได้เหมือนเดิม เพียงแต่เราทำสิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับวัยเรียนนั่นคือการทำการบ้าน การอ่านหนังสือ การค้นคว้าหาความรู้ก่อนสิ่งอื่น ๆ ได้ไหม ถ้าเราทำได้นอกจากสิ่งที่สำคัญจะถูกทำจนเสร็จแล้ว เรายังให้การพักผ่อนของเรากลายเป็นรางวัลแก่การทำงานหนักของเราได้ด้วย

สิ่งสำคัญที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ให้มากพอ สุดท้ายอาจลุกลามกลายเป็นปัญหา เช่น ถ้าไม่ทุ่มเทให้กับการทบทวนบทเรียน วันหนึ่งสอบตกขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้นการจัดลำดับความสำคัญจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง

นิสัยที่ 4 – Think win/win – ทำยังไงให้ชนะไปด้วยกัน

Think win/win คือนิสัยของการไม่มองใครเป็นคู่แข่ง ไม่ได้จำเป็นว่าถ้าฝ่ายหนึ่งชนะแล้วฝ่ายหนึ่งจะต้องแพ้ แต่คิดอยู่เสมอว่าจะชนะไปด้วยกัน ประสบความสำเร็จไปด้วยกันได้อย่างไร

ผมเคยรู้จักเด็ก 2 คนที่เป็นเพื่อนกัน มีเป้าหมายเดียวกัน อยากสอบเข้า Engineering ของ Cambridge เหมือนกัน ซึ่ง ณ ตอนนั้นครูที่โรงเรียนพยายามบอกว่าให้สมัครแค่คนเดียวเพราะที่มีน้อย ถ้าได้ก็คงได้แค่คนเดียว แต่ทั้งคู่เลือกที่จะบอกครูว่าขอลองสมัครทั้งคู่และจะสอบเข้าทั้งคู่ให้ได้ ทั้งคู่ช่วยกันติวหนังสือ และจัดกลุ่มติวให้กับเพื่อน ๆ มีอะไรช่วยกันหมด แชร์กันหมด ไม่มีอะไรแอบเก็บไว้คนเดียวเลย สุดท้ายทั้งคู่สอบเข้าไปได้ เรียกได้ว่าชนะไปทั้งคู่

การคอยเห็นคนอื่นเป็นคู่แข่ง จะทำให้จิตใจเราคับแคบ และจะทำให้เราพะวงกับคนอื่นมากจนมีเวลามาใส่ใจเรื่องของตนเองน้อยลง ในขณะที่การคิดที่จะชนะไปด้วยกัน ถ้าฉันชนะแล้วเธอจะต้องชนะด้วยนั้น จะทำให้การทำสิ่งต่าง ๆ ออกมาอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น เกิดการร่วมมือมากขึ้น และมีคนคอยเสริมแรงเสริมกำลังใจให้กันและกันมากขึ้น

นิสัยที่ 5 – Seek first to understand, then to be understood – เข้าใจผู้อื่น ก่อนให้ผู้อื่นมาเข้าใจตัวเอง

ทักษะหนึ่งที่ถือว่ายาก แต่หากฝึกได้เป็นอย่างดีแล้วจะเกิดประโยชน์มหาศาล นั่นคือทักษะในการฟังอย่างตั้งใจจริง ๆ และนั่นคือการเข้าใจผู้อื่น ซึ่งก็เกี่ยวกับนิสัยที่ 5 โดยตรง

สมมติเวลาพ่อแม่ถามเราเรื่องการบ้านว่าเราทำการบ้านแล้วหรือยัง หากเราไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจและเอาความคิดปรุงแต่งเข้าตีความ สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีเลยก็คือ เราจะคิดไปว่าพ่อแม่กำลังว่าเรา กำลังโมโหเรา และเราก็จะเริ่มปกป้องตัวเองด้วยการชักสีหน้า แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว และเริ่มยกเหตุผลต่าง ๆ นานาว่าทำไมถึงยังไม่ทำการบ้าน และพยายามเรียกร้องให้พ่อแม่เข้าใจ ซึ่งไม่ว่าเจตนาที่แท้จริงของพ่อแม่จะเป็นเช่นไรก็ตาม หากเราตั้งในฟังดี ๆ และพิจารณาดี ๆ เราจะเข้าใจได้เลยว่าเพราะการบ้านเป็นสิ่งที่ต้องทำ พอยังไม่ทำก็ไม่แปลกที่จะถูกถาม ถ้าไม่อยากถูกถาม ก็ตั้งใจทำการบ้าน จริง ๆ แล้วเรื่องราวมันก็แค่นั้นเท่านั้นเอง

นี่เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างของการฟังให้เป็น ฟังให้เห็นเบื้องหลัง แล้วทำความเข้าใจว่าเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นจากอะไร แทนที่จะเรียกร้องให้ใครมาเข้าใจตัวเอง จะดีกว่าไหมถ้าเราเริ่มจากเข้าใจคนอื่นให้ได้ก่อน

นิสัยที่ 6 – Synergize – ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ

ยุคสมัยนี้ การทำอะไรเพียงคนเดียวนั้นยากจะสำเร็จ การทำงานเป็นทีม การนำข้อดีของหลาย ๆ คนมาสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ร่วมกันจะช่วยให้ทำอะไรสำเร็จได้อีกเยอะมาก และนั่นคือการ Synergize

ครั้งหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งคิดอยากจะทำโครงการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้พิการ และสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีคือการเล่นกีต้าร์ จึงไปเล่นกีต้าร์เพื่อขอบริจาคเงิน ซึ่งในช่วงแรก ๆ นั้นได้รับเงินบริจาคน้อยมาก เพื่อนอีกคนอยากช่วยและมีความสามารถพิเศษในการร้องเพลง พอมาช่วยกันร้องช่วยกันเล่น ก็เริ่มดึงดูดความสนใจจากคนทั่วไปได้มากขึ้น ต่อมาเพื่อนอีกคนถนัดถ่ายทำ ตัดคลิป ก็มาถ่ายทำคลิปเล่นดนตรีดี ๆ ให้ แล้วเริ่มเผยแพร่ไปในที่ต่าง ๆ ทำให้สุดท้ายโครงการนี้ได้รับเงินบริจาคถึงตามเป้า ลองคิดภาพว่าถ้าต่างคนต่างทำโครงการของตัวเอง ก็คงจะทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่พอร่วมมือกัน นำสิ่งดี ๆ ที่ตัวเองมีมารวมกัน 1 + 1 จะได้มากกว่า 2 เสมอ

นิสัยที่มองหาข้อดีในตัวเองและในตัวคนอื่น และหาทางประสานมันเข้าด้วยกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้นเป็นสิ่งที่โลกของเรายิ่งในยุคสมัยนี้ต้องการเป็นอย่างมากครับ

นิสัยที่ 7 – Sharpen the saw – ลับคมขวานอยู่เสมอ

เลื่อยที่ไม่คม ตัดต้นไม้อยู่ 10 ชั่วโมงก็ไม่อาจโค่นต้นไม้ใหญ่ได้สำเร็จ แต่หากยอมใช้เวลาไปกับการลับคมเลื่อยสัก 2 – 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะโค่นต้นไม้แต่ละต้นอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

เราอาจตั้งใจเรียนหนังสือวันละหลายชั่วโมง ต่อเนื่องทุกวัน ๆ จนไม่มีเวลาหยุดพัก สุดท้ายเราก็อาจจะป่วยเพราะใช้ร่างกายหนักเกินไป หรือเราก็อาจจะไม่มีสมาธิในวันหลัง ๆ เพราะเราใช้สมองอย่างไม่หยุดพักเลย หรือไม่ก็นำไปสู่ความเครียดเพราะเราหมกมุ่นกับการเรียนจนมากเกินไป การรู้จักที่จะพักบ้างนั้นจึงกลายเป็นเรื่องที่จำเป็น นอกจากนี้การจะบรรลุเป้าหมายของการเรียนได้นั้น ส่วนอื่น ๆ ของชีวิตเราก็ต้องพร้อมที่จะสนับสนุน เราต้องออกกำลังกายบ้างเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ และสมอง เราต้องใช้เวลากับครอบครัวกับเพื่อนและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อการซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ที่ดีและแจ่มใส และเราต้องหัดที่จะมีเวลาส่วนตัวให้กับตัวเองในการคิดทบทวนเรื่องต่าง ๆ ด้วยเพื่อให้เราตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ ในโอกาสต่อไปได้ดีขึ้น

การเอาแต่เดินไปสู่เป้าหมายโดยละเลยเรื่องอื่นไปจนหมด นอกจากจะทำให้เราเหนื่อยล้าจนเกินไป จนการไปสู่เป้าหมายไม่มีประสิทธิภาพแล้ว ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเราอาจจะล้มลงกลางทางและไปไม่ถึงเป้าหมายก็เป็นได้

และทั้งหมดนั้นคือ 7 นิสัยจากหนังสือเรื่อง The 7 Habits of Highly Effective People ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับเด็ก ๆ ในวัยเรียนที่กำลังจะเดินไปสู่เป้าหมายได้เช่นเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ลองดูเป็นแนวทางไว้พูดคุยกับลูก ๆ ดูนะครับ

และเนื่องจากการสอนที่ดีที่สุด คือการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง คุณพ่อคุณแม่ลองเอา 7 นิสัยนี้มาปรับใช้กับตัวเอง แล้วชวนกันทำเป็นกิจกรรมสนุก ๆ ในครอบครัว คอยช่วยกันดูช่วยกันเตือนว่าแต่ละคนยังมีนิสัย 7 ข้อนี้อยู่เป็นประจำหรือไม่ เพื่อทำให้ทุกคนในครอบครัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแท้จริงในที่สุดครับ