สิ่งที่ผิดพลาดที่สุดของคนที่อยากเป็นหมอหลาย ๆ คนก็คือ เรียนเก่งอย่างเดียว แต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหมอเลย บางคนอาจบอกว่าก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะอย่างบ้านเราเรียนเก่ง สอบได้คะแนนดี ๆ ก็เข้าไปเรียนหมอกันได้แล้ว ค่อยไปรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอตอนนั้นก็ได้ ซึ่งความคิดแบบนี้แหละที่นำมาซึ่งความสูญเสียหลาย ๆ อย่าง
หลาย ๆ คนสอบผ่านเข้าไปได้ เพื่อที่จะรีไทร์ออกมาภายในเวลาไม่นาน เพราะพบว่าตัวเองไม่ได้อยากเป็นหมอจริง ๆ นี่คือเสียเวลาไปอย่างไม่มีประโยชน์ หลาย ๆ คนเรียนจบไปแล้วก็ไม่ได้อยากจะเป็นหมอ ทรัพยากรต่าง ๆ ที่ใช้สร้างหมอขึ้นมาคนหนึ่งก็เหมือนจะสูญเปล่าไป หลาย ๆ คนกลายเป็นหมอที่ไม่มีความสุข ใช้ชีวิตเหนื่อย ๆ ไปวัน ๆ นี่คือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ เพราะมันแทบจะทำลายชีวิตคน ๆ หนึ่งไปเลย
ปกติแล้วจะทำอาชีพอะไร จะเรียนอะไร ดีที่สุดคือเรียนสิ่งที่เป็นตัวเองจริง ๆ เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากจะเป็นหมอ หรือคิดจะเป็นหมอแต่ยังไม่แน่ใจ ลองถามตัวเองดูครับว่า เรารู้จักอาชีพหมอดีแค่ไหน แล้วมันใช่ตัวเราเองจริง ๆ หรือไม่
สำรวจชีวิตตัวเอง วัน ๆ ทำอะไร สนใจเรื่องอะไรที่หมอเขาสนใจกันบ้าง
ถ้าเวลาว่าง ๆ ก็นั่งอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหมอ การรักษา โรคภัยไข้เจ็บ เวลามีข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก็อยากจะรู้อยากจะติดตาม อยากจะศึกษาเพิ่มเติม แบบนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ถ้านี่ไม่ได้อยู่ในความสนใจเลย แค่อ่านหนังสือจะเตรียมสอบ Chemistry Biology หรือวิชาที่เกี่ยวข้องก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว จะเอาอารมณ์ที่ไหนมานั่งสนใจเรื่องพวกนี้อีก ถ้า ณ ตอนนี้ความคิดเป็นแบบนี้ เราก็อาจจะเป็นประเภทที่แค่เรียนหนังสือได้ดี แต่ไม่อาจเป็นหมอที่ดีได้
เราจะเป็นอะไรได้ดีในวันข้าง ชีวิตประจำวันที่ใช้อยู่เป็นตัวชี้วัดที่ดีเลยครับ ลองสำรวจตัวเองดูครับ
บังคับตัวเองให้อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับหมอ และอยู่นอกตำราเรียน
คนจะเรียนหมอ จะเป็นหมอได้ ต้องอ่านหนังสือเยอะมาก ถ้าที่ผ่านมาไม่เคยอ่านหนังสือเลย หรืออย่างมากอ่านแค่หนังสือเรียน นั่นย่อมไม่เพียงพอ คำแนะนำคือให้ลอง search Reading List ที่แนะนำโดย Medical School ของที่ต่าง ๆ แล้วตั้งเป้าว่าจะอ่านหนังสือเหล่านั้น ประโยชน์ก็คือ เราจะรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับหมอและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องมากขึ้น และเป็นการพัฒนาทักษะการอ่าน การวิเคราะห์ให้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังเป็นการย้ำกับตัวเองด้วยว่า หมอใช่เรื่องที่เราสนใจจริง ๆ หรือไม่
ตัวอย่าง Reading list ที่แนะนำโดย Medical school ของ University of Oxford หาได้จาก link นี้ครับ
https://www.medsci.ox.ac.uk/study/medicine/pre-clinical/applying/reading
อย่างใน Reading List นี้ ผมเคยมีโอกาสได้อ่านเรื่อง When Breath Becomes Air ของ Paul Kalanithi ผู้ซึ่งเป็น neurosurgoen ที่เล่าเรื่องราวของตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก จบการศึกษา เริ่มเรียนหมอ ชีวิตของการเรียนหมอในแต่ละปี ประสบการณ์การทำงานต่าง ๆ ที่เจอไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจ เหตุการณ์ที่น่าดีใจ คนไข้ที่รอดชีวิต คนไข้ที่เสียชีวิต จนไปถึงจุดที่พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย และต้องตัดสินใจระหว่างการเป็นหมอต่อ หรือทำอย่างอื่นแทนเพื่อใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างมีความสุข เรื่องนี้ผมเชื่อว่า ใครที่สงสัยว่าตัวเองจะเป็นหมอที่ดีได้ไหม ถ้าได้อ่านแล้วจะตอบได้อย่างแน่นอนครับ

นอกจาก Reading List ที่เป็นหนังสือแล้ว การอ่านงานวิจัยในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงการดูคลิปที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของหมอ แม้กระทั่งเรื่องของการดูละคร ดูซีรีย์ที่เกี่ยวกับหมอ ก็มีส่วนช่วยในการเข้าใจอาชีพของหมอมากขึ้นเหมือนกันครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบของหนังสือเพียงอย่างเดียว สำคัญคือขอให้อ่านและค้นคว้าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลาครับ
พาตัวเองไปเข้าค่าย หรือ ฝึกงานที่เกี่ยวกับหมอ
พวกค่ายต่าง ๆ หรือ Summer ต่างประเทศ หรือ การฝึกงานเกี่ยวกับหมอ ที่จะทำให้ตัวเองมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาชีพนี้มากขึ้น แนะนำว่าต้องไปทำหรือไปเข้าร่วม ทั้งนี้ควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนไปเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เช่น การตั้งเป้าหมายล่วงหน้าว่าจะได้เรียนรู้อะไรจากการไปทำกิจกรรมเหล่านี้ แล้วสำรวจตัวเองในทุก ๆ วันที่ไปเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้น และหลังจากไปเข้าค่าย ไป Summer หรือ ฝึกงานเสร็จเรียบร้อย ควรทำสรุปคล้าย ๆ กับการเขียน Journal ออกมาเพื่อตกผลึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ แล้วตอบตัวเองได้อย่างชัด ๆ ว่า เราพร้อมสำหรับการจะเรียนหมอเพื่อเป็นหมอจริง ๆ หรือไม่
หลาย ๆ คนเมื่อไปฝึกงานแล้วก็ค้นพบทางเลือกที่แตกต่างออกไป ส่วนหนึ่งก็สามารถยืนยันกับตัวเองได้อย่างแท้จริงว่าตัวเองเกิดมาเพื่อที่จะเป็นหมอจริง ๆ หลาย ๆ คนก็พบว่าตัวเองเหมาะกับงานอื่นที่เกี่ยวข้องมากกว่า
อย่างมีอยู่ปีหนึ่งที่เด็ก ๆ 4 คนที่เป็นเพื่อนกัน พอไปฝึกงานหมอด้วยกัน มีแค่คนเดียวที่ยืนยันได้ว่าตัวเองเป็นหมอได้แน่ ๆ ส่วนอีก 3 คนนั้นได้พบเจอกับตัวเองที่แตกต่างออกไป คนแรกชอบมากที่สุดตอนที่ได้ไปดูการวิจัยตัวอย่างเลือดเพื่อระบุประเภทของเชื้อโรคที่จะนำไปสู่การรักษาต่าง ๆ จึงตัดสินใจว่าจะเรียน Biomedical Science คนที่สองชอบมากที่สุดคือตอนที่ได้คุยกับคนไข้รวมถึงญาติของคนไข้ ได้ให้กำลังใจ เลยตัดสินในว่าจะเรียน Psychology ส่วนคนสุดท้ายได้ไปเห็นเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ที่ทันสมัยมาก ๆ จึงอย่างมีส่วนในการพัฒนาสิ่งเหล่านี้ จึงตัดสินใจว่าอยากเรียนด้าน Biomedical Engineering
เพราะฉะนั้น การเข้าค่าย การไป Summer และการฝึกงาน จึงเป็นด่านที่สำคัญมาก ๆ ที่จะช่วยให้เราค้นหาตัวเองเจอขึ้นว่าเราเหมาะกับการเรียนหมอจริง ๆ หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ใช่ เราก็อาจจะได้เจอตัวเองที่เหมาะกับเรื่องอื่นก็เป็นไปได้ครับ
ลองฝึกตัวเองทำข้อสอบวัดทักษะความเป็นหมอ และ ซ้อม Interview
นอกจากการค้นหาตัวเองด้วยการดูกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน การอ่านหนังสือ การค้นคว้าต่าง ๆ หรือการไปฝึกงานแล้ว การลองเอาตัวเองมานั่งหัดทำข้อสอบอย่าง BMAT หรือ UCAT รวมถึงการซ้อม Interview ต่าง ๆ ก็เป็นอีกส่วนที่จะมีประโยชน์มาก ๆ อย่างน้อยใน 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ ถ้าเราเหมาะสมกับการเป็นหมอจริง ๆ นี่ก็จะเป็นขั้นตอนในการฝึกตัวเองให้มีความพร้อมกับการได้รับคัดเลือกเข้าไป เรื่องที่สองคือ ถ้าเราไม่ได้เหมาะกับการเป็นหมอ เราอาจจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสอบ BMAT หรือ UCAT นั้นเป็นข้อสอบที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาไว้คัดกรองว่าคน ๆ หนึ่งมีทักษะในการเป็นหมออย่างแท้จริงหรือไม่ ซึ่งจะช่วยในการพิจารณาได้มากเลยทีเดียว
คนเป็นหมอโดยส่วนมากเรียนเก่ง แต่คนเรียนเก่งไม่ได้จำเป็นต้องเป็นหมอ เพราะมีคุณสมบัติอีกหลายอย่างที่จำเป็นสำหรับคนที่จะเป็นหมอได้ การหาตัวเองให้เจอ และการยอมรับให้ได้ว่าตัวเองใช่หรือไม่ใช่ นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ หมอไม่ใช่อาชีพเดียวในโลกที่น่าสนใจ ถ้าเราใช่สำหรับอย่างอื่น ไปเป็นอย่างอื่นครับ แต่ถ้าเราใช่หมอจริง ๆ ก็เป็นหมอที่ดีให้ได้ครับ
เรียนในสิ่งที่ใช่ เป็นในสิ่งที่ใช่ นอกจากจะมีชีวิตที่ดี มีความสุขแล้ว ยังเป็นประโยชน์กับผู้คนได้มากมาย เรามาเลือกชีวิตที่เป็นอย่างนั้นกันเถอะครับ