ผมเพิ่งไปสอบ HSK4 มา เลยอยากจะรีวิวแบ่งปันประสบการณ์การสอบ เพื่อเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังวางแผนจะสอบ สำหรับนำไปใช้ในการสมัครเรียนต่อที่ประเทศจีน หรือทำงานต่าง ๆ ครับ

HSK4 สอบอะไรบ้าง

HSK4 แบ่งการสอบออกเป็น 3 ส่วนคือ ฟัง (听力) อ่าน (阅读) และเขียน (书写)โดยมีความคาดหวังว่าผู้สอบจะต้องรู้คำศัพท์ภาษาจีนประมาณ 1,200 คำ ก็จะอยู่ในระดับที่สามารถทำข้อสอบในระดับนี้ได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้การสอบ HSK4 จะบังคับให้ต้องสอบ HSKK หรือการสอบพูด ในระดับกลาง เพิ่มเติมเข้าไปด้วย สำหรับรายละเอียดการสอบแต่ละส่วน เดี๋ยวจะค่อย ๆ เล่าไปครับ

การสมัครสอบ

เรื่องแรกที่อยากจะเตือนคือ HSK นั้นต้องสมัครสอบล่วงหน้าค่อนข้างนาน อย่างผมสอบกับศูนย์ของ BLCU (มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่งกรุงเทพฯ) คือสมัครล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน เพราะฉะนั้นใครจะสอบให้วางแผนดี ๆ ปกติเขาจะเปิดให้สมัครได้ 2 เดือนล่วงหน้า และปิดรับสมัครตอนเหลืออีก 1 เดือนจะถึงวันสอบหรืออาจปิดเร็วกว่านั้นถ้าสนามสอบเต็ม

การสมัครกับศูนย์ของ BLCU สามารถทำที่หน้าเว็บไซต์ของทางศูนย์ได้เลย ส่วนสนามสอบอื่น ๆ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดดูครับ มีอยู่หลายแห่งมาก ๆ

เมื่อสมัครสอบเสร็จแล้ว ทางศูนย์ BLCU จะตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมา (เป็น Line Square) เพื่อให้ผู้เข้าสอบได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมตัวต่าง ๆ เรื่องหนึ่งที่น่าตกใจคือ มีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาแล้วแปะ link จะให้กดโดยหลอกล่อว่าจะมีการย้ายกลุ่มใหม่ อันนี้ใครจะสอบก็ระวังตัว และมีวิจารณญาณก่อนจะทำอะไรนะครับ

สิ่งที่ต้องเตรียมไปในวันสอบ

ข้อสอบเกือบทั้งหมดคือการฝนคำตอบ แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นการเขียน อย่างไรก็ดี ผู้เข้าสอบจะได้รับอนุญาตให้ใช้แค่ดินสอ 2B เท่านั้น ไม่สามารถใช้ปากกาในการเขียนได้ เพราะฉะนั้นที่ต้องเตรียมไปคือ ดินสอ 2B และยางลบ

ส่วนการยืนยันตัวตน สามารถใช้บัตรประชาชนตัวจริง หรือ Passort หรือสูติบัตร (สำหรับคนที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ทำบัตรประชาชน) มีคนในกลุ่ม Line ถามเหมือนกันว่าบัตรประชาชนหาย ใช้สำเนาได้ไหม ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวันจริงใช้ได้ไหม เพราะฉะนั้น ก็เตรียมตัวให้ดี ๆ

ส่วนกระเป๋าสัมภาระสามารถนำไปได้ จะมีที่ให้วางของ และต้องฝากโทรศัพท์มือถือไว้กับเจ้าหน้าที่หรือเอาไว้ในสัมภาระของตัวเอง

การไปถึงสนามสอบ สำหรับกรณีสมัครสอบกับ BLCU

สนามสอบคือโรงเรียนอัสสัมพาณิชยการ เดินทางสะดวกที่สุดคือนั่ง BTS ลงสถานีเซนต์หลุยส์แล้วเดินเข้าซอยไป คำเตือนคือ ให้ไปก่อนเวลา เพราะซอยลึกพอสมควร ส่วนใครจะเอารถไป แนะนำว่าต้องไปเร็วมาก ๆ เพราะที่จอดน้อย ถ้าเป็นไปได้อย่าเอาไปจะดีกว่า

เมื่อไปถึงแล้วเขาจะให้ตรวจดูรายชื่อว่าสอบห้องไหน เมื่อถึงเวลาก่อนสอบครึ่งชั่วโมง เขาก็จะให้เข้าห้องสอบ และยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือเอกสารอื่น ๆ จากนั้นเมื่อถึงเวลาเริ่มสอบก็เริ่มพร้อมกัน

การสอบส่วนแรก : การฟัง (听力)

ข้อสอบแบ่งเป็น 3 ส่วนย่อย ๆ

  • ฟังข้อความ แล้วบอกว่า ถูก หรือ ผิด จำนวน 10 ข้อ
  • ฟังบทสนทนาสั้น ๆ แล้วตอบคำถาม จำนวน 15 ข้อ
  • ฟังบทสนทนาหรือเรื่องยาว ๆ แล้วตอบคำถาม จำนวน 20 ข้อ

หลักการในการทำข้อสอบการฟังให้ดี ก็คงเหมือนกับการสอบภาษาอื่น ๆ ทั่วไปอย่างเช่น IELTS ในภาษาอังกฤษ ก็คือ ให้ดูคำตอบเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้รู้บริบทว่าสิ่งที่ต้องตอบนั้นน่าจะเกี่ยวกับอะไร

ส่วนตัวแล้ว นี่เป็นส่วนที่น่าจะได้คะแนนน้อยที่สุด เพราะไม่ได้ฝึกฟังมามากพอ อย่างไรก็ดี ในข้อที่ฟังแล้วคุ้นเคย มันจะง่ายมาก ๆ เพราะฉะนั้น ฟังให้มาก ๆ และซ้อมข้อสอบส่วนการฟังให้มาก ๆ ก็น่าจะทำได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญคือ ถ้าข้อไหนพลาดไปแล้ว ให้ข้ามไปเลย ถ้ามัวพะวงกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว มันจะผิดพลาดต่อเนื่องกันไปยาว ๆ

ในส่วนของข้อสอบฟังนั้น สำหรับผม ส่วนตรงกลางที่เป็นการฟังบทสนทนาสั้น ๆ นั้นถือว่าง่ายที่สุด รองลงมาคือบทสนทนายาว ๆ ที่ถือว่าซับซ้อนที่สุดจะเป็นการฟังแล้วบอกว่าถูก หรือ ผิด เพราะบางครั้งคำถามมันหลอกมา ต้องตั้งสติดี ๆ

และเนื่องจากการฝนกระดาษคำตอบให้เต็มกรอบบางครั้งก็ใช้เวลานาน และอาจทำให้ฟังไม่ทัน ในส่วนนี้เขาเลยให้เวลา 5 นาทีหลังข้อสุดท้าย ในการฝนคำตอบให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นระหว่างทำ สามารถติ๊กคร่าว ๆ ไว้ก่อน แล้วค่อยระบายตอนจบทีเดียวได้ อย่างไรก็ดี ตรงนี้น่าจะขึ้นกับการบริหารจัดการเวลาของแต่ละคนมากกว่า

การสอบส่วนที่สอง : การอ่าน (阅读)

ข้อสอบส่วนนี้ แบ่งเป็น 3 ส่วนย่อย ๆ

  • เติมคำในช่องว่าง โดยมีตัวเลือกมาให้ จำนวน 10 ข้อ
  • ให้ส่วนของประโยคมา 3 ท่อน แล้วให้เรียงลำดับจากก่อนไปหลัง จำนวน 10 ข้อ
  • อ่านข้อความแล้วตอบคำถาม 20 ข้อ

ทั้งหมดนี้ มี 40 ข้อ และให้เวลา 40 นาที ตีคร่าว ๆ ก็คือข้อละ 1 นาที ซึ่งตอนผมสอบนั้น ผมทำเสร็จก่อนเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น แต่เท่าที่จับบรรยากาศผู้สอบคนอื่น ๆ ในห้อง ส่วนใหญ่จะทำเสร็จก่อนเวลากันสัก 5 นาที ที่รู้เพราะว่าผู้คุมสอบเดินไปเตือน 2-3 คนว่าอย่าเพิ่งไปทำข้อสอบส่วนต่อไป ให้รอหมดเวลาในส่วนของการอ่านก่อน อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเตือนไว้คือ เราสามารถทำข้อสอบแต่ละส่วนได้ตามช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น

สำหรับส่วนแรก การเติมคำในช่องว่าง ถือว่าง่ายมาก ๆ ถ้ารู้ศัพท์ ยังไงก็ทำได้ เพราะมันตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นเคล็ดลับมีเรื่องเดียวคือต้องจำศัพท์ในระดับนี้ให้ได้

สำหรับส่วนที่สอง ถ้าเป็นคนที่อ่านหนังสือมาเยอะ ๆ ก็จะไม่ยากเกินไป เพราะเมื่ออ่านแต่ละท่อนที่เขาให้มา ก็จะรู้แล้วว่า ท่อนไหนน่าจะขึ้นต้นประโยคไม่ได้ ท่อนไหนจะเป็นประโยคนำเสมอ ท่อนไหนเป็นตัวขยาย ถ้าอยากทำส่วนนี้ให้ดีขึ้น ต้องแม่นยำเรื่องคำเชื่อมประโยคต่าง ๆ ผมเองใช้เวลากับตรงนี้อยู่พอสมควร เพราะมีข้อที่ลังเล จนทำให้เกือบมีเวลาไม่พอในการทำส่วนที่สาม

ในส่วนที่สามนั้น ข้อความที่ให้มาจะยาวประมาณ 3 – 5 บรรทัด เป็นการอ่านจับใจความแล้วตอบคำถาม ถ้าเวลาเหลือ ๆ ใจเย็น ตั้งสติให้ดี จะพบว่าเป็นส่วนที่ง่ายเหลือเชื่อ เพราะตัวเลือกที่มีให้ตอบนั้น เป็นตัวเลือกที่ไม่คลุมเครือเลย เรียกได้ว่า ถ้าอ่านข้อความที่ให้มาเข้าใจ ยังไงก็จะตอบได้ คงเป็นเรื่องเดิมว่าต้องฝึกอ่านบทความมาค่อนข้างเยอะ คุ้นเคยกับคำศัพท์เป็นอย่างดี ก็จะจับใจความได้เร็ว

ทั้งนี้ข้อสอบในส่วนการอ่านในระดับ HSK4 นี้ แทบไม่ต้องใช้ทักษะในการวิเคราะห์เลย เพราะคำตอบทั้งหมดตรงไปตรงมา ขอแค่มีทักษะในการอ่านและจับใจความ (โดยไม่ต้องตีความเพิ่มเติม) ก็เพียงพอแล้ว

การสอบส่วนที่สาม : การเขียน (书写)

สำหรับการเขียน ข้อสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

  • เรียงประโยค แล้วเขียนเป็นภาษาจีนออกมา จำนวน 10 ข้อ
  • แต่งประโยคจากรูปภาพและคำที่กำหนดให้ 5 ข้อ

ส่วนนี้ให้เวลาทั้งหมด 25 นาที ซึ่งถือว่าทันสบาย ๆ เพราะจำนวนข้อสอบมีไม่เยอะ อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดของส่วนนี้คือ ดินสอ และ ลายมือ ผมใช้ดินสอ 2B ชนิดที่เขียนแล้วตัวค่อนข้างหนาแม้จะเหลาดินสอแหลมแล้วก็ตาม ทำให้เขียนไปแล้วลายมืออาจอ่านยาก คำแนะนำคือ ถ้ามีดินสอกดไส้ 2B มาใช้สำหรับส่วนนี้ ก็น่าจะเขียนลายมือได้สวยขึ้น ผมได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ตัดคะแนนเรื่องลายมือครับ

ส่วนแรกที่เป็นการเรียงประโยคนั้น ต่างจากการเรียงประโยคในส่วนของการอ่านคือ ในส่วนนี้เป็นการเรียงคำหรือกลุ่มคำ ที่เป็นตัวภาษาจีน จริง ๆ แล้วก็ดูเป็นการวัดทักษะในการอ่านกับการเขียนพอ ๆ กัน ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว่ายาก จะมีแค่เรื่องลายมืออย่างที่กล่าวไปเมื่อสักครู่ที่อาจน่าเป็นห่วง

ในส่วนของการแต่งประโยคจากรูปภาพนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน คำศัพท์ที่กำหนดมาให้ต่อข้อคือแค่ 1 คำ เป็นคำที่อยู่ในระดับ HSK4 ตามที่เราสอบ แต่เราสามารถใช้คำศัพท์ในระดับไหนก็ได้ในการแต่งประโยค เพราะฉะนั้นแค่แต่งประโยคที่ไม่ซับซ้อนออกมาได้ ความยาวสักประมาณ 7 คำขึ้นไป ก็ถือว่าเพียงพอที่จะได้คะแนนแล้ว

ในภาพรวมสำหรับการสอบส่วนของการเขียน คือ หัดคัดตัวจีนเยอะ ๆ นะครับ ไม่งั้นไม่คุ้นเคย ลายมือไม่สวย เขียนช้า จะลำบากเอา

การสอบพูด : HSKK ระดับกลาง

หลังจากสอบ HSK4 เสร็จ ทางผู้คุมสอบจะให้ออกไปพักเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายประมาณ 15 นาที แล้วกลับเข้ามาสอบพูด HSKK ระดับกลางต่อ ซึ่งการสอบพูดของ HSKK นั้นแตกต่างจากการสอบ Speaking ใน IELTS เป็นอย่างมากคือ ทุกคนที่นั่งสอบ HSK ด้วยกันเมื่อกี้ ก็ยังนั่งสอบที่เดิม สอบด้วยกัน และสอบพร้อมกัน ไม่ได้แยกไปสอบเดี่ยว ๆ

วิธีการสอบคือ จะต้องพูดสิ่งที่เขากำหนด ลงในเครื่องบันทึกเสียงส่วนตัวที่เขาเตรียมไว้ให้ ก่อนสอบผู้คุมสอบมีการสอนใช้เครื่องและให้ลองตรวจสอบพอเป็นพิธี จากนั้นก็เริ่มการสอบ สำหรับเครื่องบันทึกเสียงนั้นจะต่อกับหูฟังส่วนตัว แล้วตัวหูฟังคือมีไมค์ยื่นออกมาเพื่อให้สิ่งที่เราพูดถูกบันทึกลงไป

การสอบในส่วนแรกของ HSKK ระดับกลางมี 10 ข้อ ผู้คุมสอบจะเปิดไฟล์เสียงคล้าย ๆ การสอบฟัง ทีละประโยค พอได้ยินจบประโยค ให้เราพูดสิ่งที่เราได้ยินลงไปให้เหมือนเป๊ะ ๆ ความท้าทายมาก ๆ ของการสอบส่วนนี้คือ ตอนเราพูด คนอื่นในห้องก็พูด เสียงตีกันไปหมด เสียสมาธิได้ง่ายมาก ๆ และผมสังเกตบรรยากาศในห้องได้ว่า บางคนไม่ยอมพูด เพราะรอฟังคนอื่น จะได้พูดตาม แต่บอกเลยว่านั่นจะยิ่งทำให้สับสนและสุดท้ายพูดไม่ถูก

สำหรับผมแล้วในส่วนแรกนี้ ไม่มั่นใจเลย เพราะยอมรับว่าเสียสมาธิมากจริง ๆ ไม่เหมือนที่เคยซ้อมคนเดียวเลย คำแนะนำมี 2 อย่างคือ หนึ่ง ให้ซ้อมเยอะ ๆ ในสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน หรือ สอง หาสนามสอบอื่นที่อาจมีระบบป้องกันเสียงรบกวนที่ดีกว่านี้ (ได้ข่าวว่าบางที่มีที่กั้นระหว่างผู้เข้าสอบ ซึ่งช่วยได้ระดับหนึ่ง)

พอส่วนแรกจบแล้ว ในส่วนที่สองจะมีอยู่ 4 ข้อ เป็นการให้พูดบรรยายรูป 2 ข้อ ข้อละ 2 นาที และพูดตอบคำถามที่เขากำหนดมาให้ 2 ข้อ ข้อละ 2 นาที ซึ่งก่อนจะถึงการสอบ 4 ข้อนี้ เขาจะให้เวลา 10 นาทีในการเขียนร่างว่าจะพูดอะไรบ้าง ผมแนะนำว่าให้ร่างแค่ Keyword หลัก ๆ ที่จะใช้ก็พอ ถ้าร่างเป็นตัวจีนหรือพินอินเต็ม ๆ จะร่างไม่ทัน

อย่างโจทย์ที่ผมได้ รูปแรกคือรูปคนดูโทรศัพท์มือถือแล้วตกใจ รูปที่สองคือพ่อแม่ลูกไปปีนเขากัน เราก็ร่าง Keyword ไว้ก่อน ผมก็เรื่อยเปื่อยเลยว่า เขาดูมือถือแล้วตกใจ เพราะเขาเห็นโฆษณาลดราคาครั้งใหญ่ แล้วพอดีกับต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านพอดี เพราะพ่อแม่เลิกให้ค่าขนมแล้ว หรืออีกรูปผมก็บอกว่าบ้านนี้เขาไม่ค่อยได้ไปเที่ยวด้วยกันหรอก พ่องานยุ่ง แม่งานยุ่ง เรื่อยเปื่อยมาก ๆ ครับ

ส่วนอีก 2 ข้อ ผมได้โจทย์ว่า วันเกิดครั้งหน้าจะทำอะไร ผมก็ร่างไว้ว่าจะพูดว่าก็ไปเที่ยวกับพ่อแม่ เวลาไปเที่ยวพ่อชอบทำอะไร แม่ชอบทำอะไร ผมชอบทำอะไร ส่วนอีกข้อก็โดนถามว่า อาชีพในอดีตที่ชอบคืออะไร ก็เลยเล่าเรื่องตอนเป็นครูสอนเลขว่าสนุกอย่างไร

พอ 10 นาทีที่เขาให้เตรียมตัวจบลง แต่ละคนก็เริ่มพูดข้อละ 2 นาที คราวนี้เสียงตีกันมากกว่า 10 ข้อแรกอีก เพราะทุกคนเล่าเรื่องของตัวเอง ผมสังเกตเห็นว่าไม่มีใครพูด 2 นาทีเต็ม ๆ ต่อข้อเลย ส่วนใหญ่จะประมาณ 1-1.5 นาทีก็หยุดแล้ว ผมเองก็พูดไปข้อละนาทีกว่า ๆ เอง เพราะประเด็นที่ร่างไว้มันหมด และก็เสียสมาธิไปกับเรื่องของคนข้าง ๆ พอสมควร เช่นเคยครับ คำแนะนำคือ ซ้อมในที่ที่มีเสียงกวนเยอะ ๆ หรือไม่ก็ลองหารีวิวสนามสอบที่อาจจะเอื้อต่อการสอบมากขึ้น

พอการสอบเสร็จสิ้น เขาก็ให้ปิดเครื่องบันทึกเสียงและส่งคืน มีผู้เข้าสอบคนหนึ่งเกิดกดบันทึกเสียงไม่ติดตั้งแต่ต้น ทำให้เสียงไม่เข้าเลยตั้งแต่แรก ซึ่งผู้คุมสอบก็ไปพูดคุยกับหัวหน้าผู้คุมสอบให้ว่าทำอะไรได้ไหม แต่ก็ไม่สามารถอนุญาตให้แก้ตัวได้ เพราะฉะนั้นใครสอบส่วนของการพูด HSKK ก็ให้ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ดี ๆ เพื่อรักษาสิทธิ์ของตัวเองนะครับ

ผลสอบ

ผลสอบจะออกในอีก 1 เดือนนับจากนี้ สามารถดูได้ทางออนไลน์ตามเว็บไซต์ที่ผู้คุมสอบแจ้งไว้ และประกาศนียบัตรจะส่งมาประมาณ 1.5 – 2 เดือนหลังจากวันสอบ โดยจะมีผลของทั้ง HSK และ HSKK รวมอยู่ด้วยกัน

ประเมินตัวเอง และ คำแนะนำ

การสอบ HSK4 และ HSKK ระดับกลางครั้งนี้ ผมยอมรับว่าเตรียมตัวมาน้อยกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น ในรายละเอียดคือ ผมเพิ่งอ่านเนื้อหาทั้งหมดจบประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนสอบ และทบทวนคำศัพท์ไปได้แค่ประมาณ 60% แถมยังไม่เคยทำข้อสอบจริงเลยสักครั้ง … ผู้อ่านอย่าได้เอาพฤติกรรมแบบนี้เป็นเยี่ยงอย่างนะครับ ถ้าจะสอบอะไร จะทำอะไร ควรเตรียมตัวให้ดีที่สุด เท่าที่ยังมีโอกาสเสมอครับ

ผมค่อนข้างคิดว่าตัวเองน่าจะประเมินตัวเองถูกต้อง ในเรื่องต่อไปนี้

  • ข้อสอบส่วนของการฟัง ผมฟังรู้เรื่องประมาณครึ่งเดียว คะแนนที่ได้น่าจะใกล้เคียงกับครึ่งหนึ่ง
  • ข้อสอบส่วนของการอ่าน ผมค่อนข้างมั่นใจ เพราะทำได้เกือบทุกข้อ คิดว่าคะแนนไม่น่าจะต่ำกว่า 80%
  • ข้อสอบส่วนของการเขียน เป็นส่วนที่ผมมั่นใจที่สุด เพราะทำได้ทุกข้อจริง ๆ เว้นแต่ว่าจะโดนตัดคะแนนเรื่องลายมือสวย
  • ข้อสอบส่วนของการพูด ผมไม่แน่ใจเลยว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ก็หวังว่าจะผ่านครับ

มีคนบอกว่า ถ้าผ่าน HSK4 และ HSKK ระดับกลางได้ จะสามารถพูดจาสื่อสารในประเทศจีนได้ค่อนข้างดี และสามารถเข้าไปเรียนบางอย่างได้ ส่วนตัวผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เหตุผลคือ ถ้าผมไม่ได้ประเมินตัวเองผิด ผมมั่นใจว่าผมจะสอบผ่าน แต่ผมไม่มั่นใจเลยว่าความสามารถ และทักษะทางภาษาจีนที่ผมมีตอนนี้ จะเพียงพอกับการไปพูดจาสื่อสารกับชาวจีนได้และสามารถไปเรียนอะไรบางอย่างได้อย่างไร

ความเห็นของผมคือ HSK อาจไม่ใช่ตัวประเมินที่เหมาะสมเกี่ยวกับความพร้อมในการใช้งานของภาษาจีนครับ

ผมมีโอกาสได้คุยกับมหาวิทยาลัยจากประเทศจีนบางแห่งที่มาออกงานแฟร์ เรื่อง HSK ที่ต้องมีในการเข้าไปเรียน เขาพูดว่าแบบนี้ครับ

  • เราเขียนไว้ ว่าใครได้ HSK4 ก็เข้ามาเรียนได้ แต่เอาจริง ๆ นะ ใครเข้ามาด้วย HSK4 เรียนไม่รอดสักคน
  • อย่างต่ำ ควรมี HSK5 ถึงจะเรียนไหว แต่ก็เหนื่อยพอสมควรนะ
  • พวกที่ได้ HSK6 มาแล้ว พวกนี้ต่างหากที่เรียนได้อย่างรู้เรื่องและเกิดผลลัพธ์ที่ดีจริง ๆ

เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังจะสอบ HSK ในระดับต่าง ๆ ไม่ว่าผลคะแนนจะออกมาเป็นอย่างไร อย่าลืมประเมินตัวเองในความเป็นจริงด้วยนะครับ ว่าเราเป็นอย่างไรบ้าง การทำข้อสอบ HSK ได้ อาจไม่ได้หมายถึงว่าเรามีทักษะทางภาษาจีนที่เหมาะสมแก่ระดับนั้นจริง ๆ ก็เป็นไปได้ครับ

กล่าวโดยสรุปคือ ถ้ามุ่งมั่นทางนี้ ก็อย่าหยุดพัฒนาตัวเองนะครับ ผมเองก็จะเรียนรู้จากการสอบครั้งนี้ แก้ไขและพัฒนาตัวเองให้ทำได้ดีขึ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไปเช่นกันครับ ขออวยพรให้ทุกคนประสบความสำเร็จครับ

APSthai : The Best Education In Your Own Version