“ผมอยากเข้า Cambridge นะ แต่ผมว่าผมทำไม่ได้หรอก”

นักเรียนคนหนึ่งพูดประโยคนี้ขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้ ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่พูดแบบนี้ เพราะทุกครั้งที่เราพูดคุยถึงความฝันที่ยิ่งใหญ่ หลายคนก็ไม่กล้าแม้แต่จะฝัน หลายคนไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงได้เลยในชีวิตนี้

อาจมีบางคนที่เริ่มลงมือที่จะเดินไปสู่เป้าหมาย แต่ไม่นานก็ล้มเลิก หรือไม่ก็เปลี่ยนเป้าหมาย ลดขนาดของความฝัน บางครั้งการเปลี่ยนเป้าหมายก็เป็นเรื่องดี ถ้ามันคือการเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ใช่สำหรับตัวเอง แต่บางคนก็หันเหจากความตั้งใจเดิมเพียงเพราะไม่เชื่อมั่นในตัวเอง และกลัวที่จะต้องเจ็บปวดหัวใจก็เท่านั้น

อย่าเพิ่งยอมแพ้นะครับ ถ้าใครมีความฝัน มีเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ลองทำตาม 3 ขั้นตอนนี้ดู

ขั้นตอนที่ 1 ตอบให้ได้ว่า “ทำไม” เราถึงอยากทำมันให้สำเร็จ

เหตุผลว่า “ทำไม” ถึงฝันแบบนี้ “ทำไม” ถึงมีเป้าหมายแบบนี้ เป็นเรื่องใหญ่ เหตุผลที่ชัดเจนจะเป็นแรงผลักดันให้เราต้องพยายามให้มากขึ้น และเป็นแรงที่ทำให้เราอยากรีบวิ่งไปหาความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น การขาดเหตุผลที่ดีพอ หรือไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง เท่ากับเป็นการเริ่มต้นที่ผิดทาง และโอกาสที่จะทำสำเร็จนั้นคือไม่มีเลย

ถ้าเป้าหมายคือการเข้า Cambridge ตอบตัวเองให้ได้ว่า อยากเข้า Cambridge เพราะอะไร ถ้าคำตอบคืออยากเข้าเพราะจะได้ดูดี อยากเข้าเพราะจะได้มีคนชื่นชม ลองถามตัวเองต่อไปว่า นั่นใช่สิ่งที่เราอยากได้จริง ๆ ไหม มันจะทำให้เรามีความสุขกับชีวิตอย่างแท้จริงหรือไม่

แต่ถ้าคำตอบคือ เพราะคอร์สของ Cambridge ที่เราสนใจ มี professor เก่ง ๆ ที่เราติดตามผลงานอยู่ และเราอยากมีโอกาสได้เรียนกับเขา ทำงานวิจัยร่วมกับเขา เพื่อต่อยอดไปสู่โครงการหรืออาชีพที่เราอยากทำในอนาคต แบบนี้จะเป็นเหตุผลที่ชัดเจนมาก เพราะเรารู้ว่าเราทำอะไรไปเพื่ออะไร

เพราะฉะนั้น อย่าลืมถามตัวเองให้เรียบร้อยว่า จะทำไปทำไม ใช่สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ ใช่ไหม มันคือชีวิตแบบที่เราต้องการจริง ๆ หรือไม่

ขั้นตอนที่ 2 แตกเป้าหมายใหญ่ ๆ ให้กลายเป็นเป้าหมายย่อย ๆ

แม้เหตุผลจะชัดเจน แต่บางคนก็หยุดแค่ตรงนั้น เพราะคิดว่าสิ่งที่ฝันไว้มันใหญ่เกินไป ยากเกินไป และมีไว้สำหรับคนที่เขาเก่งกว่าเรา และพร้อมกว่าเราเท่านั้น จำไว้นะครับว่าในเรื่องของความฝันไม่มีใครเก่งกว่าใคร ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร ถ้านี่คือสิ่งที่เราอยากได้ เรื่องนี้จะเกี่ยวกับเราคนเดียวเท่านั้น

และถ้าเป้าหมายมันใหญ่เกินไป หรือดูซับซ้อนเกินไป ลองวิเคราะห์ออกมาว่า มันสามารถแตกออกเป็นเป้าหมายย่อย ๆ อย่างไรได้บ้าง ข้อดีของการแตกเป้าหมายให้เล็กลง คือเราจะเข้าใจสิ่งที่ต้องทำมากขึ้น และมีกำลังใจมากขึ้นเพราะทุกอย่างมันซับซ้อนน้อยลง

กลับไปที่เรื่องของความฝันที่จะเข้า Cambridge ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ดูยิ่งใหญ่เกินตัวสำหรับใครหลายคน แต่หากวิเคราะห์ดี ๆ มันก็ไม่ต่างจากการเข้า university อื่น ก็คือ เราต้องมี academic performance ที่ดีและเราต้องสามารถแสดงความ born to be ในสิ่งที่เราเลือกออกมาได้

ด้าน academic performance งานที่เราต้องทำก็คือ ต้องตั้งใจเรียน ต้องทำการบ้านให้ครบ ต้อง self-study ให้เป็น ต้องอ่านหนังสือหาข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติม ต้องซ้อมทำ past papers ถ้าทำได้ เราก็จะมี academic performance ที่ดีได้

ด้านความ born to be งานที่เราต้องทำก็คือหาประสบการณ์และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับคอร์สนั้นให้มากขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น ค้นคว้ามากขึ้น เข้าร่วมกิจกรรม ค่าย คอร์สพิเศษ ต่าง ๆ ให้ครบถ้วน ถ้าทำได้ เราก็จะสามารถแสดงความ born to be ผ่าน personal statement, reference, และ การ interview ได้อย่างแน่นอน

สุดท้าย เราจะรู้สึกว่าการเข้า Cambridge นั้นไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่กังวล เราจะเห็นมันเป็นแค่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ หลายชิ้นมาประกอบกัน และแต่ละส่วนไม่ได้ยากเกินไป มีโอกาสทำสำเร็จได้มากขึ้น

เหมือนที่มีคำถามชวนคิดข้อหนึ่งถามว่า “เราจะกินช้างทั้งตัวได้อย่างไร” และคำตอบที่แสนจะเรียบง่ายก็คือ “กินทีละคำ”

ขั้นตอนที่ 3 ลงมือทำทุกวัน ประสบความสำเร็จในทุก ๆ วันแม้ก้าวเล็ก ๆ

นิสัย เกิดจากการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ซ้ำ ๆ เป็นประจำ จะดีแค่ไหนถ้าเราพยายามเดินหน้าไปสู่ความฝันของเราทุกวัน จนกระทั่งมันติดเป็นนิสัยว่า อย่างน้อยในแต่ละวันเราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เข้าใกล้ความฝันมากขึ้น

เราสามารถที่จะแบ่งเป้าหมายย่อย ๆ จากขั้นตอนที่ 2 ลงไปในตารางชีวิตของเราในแต่ละวัน ให้ทุกวันของเรา เราได้ทำบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เมื่อทั้งหมดมารวมกันแล้ว มันทำให้เราพิชิตความฝันอันยิ่งใหญ่ของเราได้ในที่สุด

เราสามารถเข้าใกล้เป้าหมายที่จะเข้า Cambridge ได้ในทุกวันโดยไม่ยาก วันนี้เราอาจจะหาบทความสั้น ๆ เกี่ยวกับคอร์สที่เราสนใจจะเรียนที่ Cambridge มาอ่านเพิ่ม วันต่อมาเราอาจจะเปลี่ยนเป็นดูคลิปเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แทน วันต่อไปเราอาจจะเริ่มหาเวลาทำ project เพื่อให้มีทักษะที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น นี่เป็นแค่ตัวอย่าง ซึ่งถ้าเราหาอะไรทำไปแบบนี้ได้ทุกวัน เราก็จะค่อย ๆ สะสมคุณสมบัติในการได้เข้าไปเรียนที่ Cambridge ไปวันละเล็กวันละน้อย

การอ่านบทความแค่ 10 นาที หรือดูคลิปแค่ 1 คลิป อาจดูเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ แต่ถ้าสุดท้ายมันคือสิ่งที่รวมกันแล้วพาเราไปสู่ความสำเร็จ สิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นก็ควรถูกนับว่าเป็นความสำเร็จเหมือนกันไม่ใช่หรือ ? อย่าได้ประเมินค่าของการทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ต่ำเกินไป จงชื่นชมตัวเองที่สามารถทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ได้ทุกวัน อย่างน้อยมันก็แปลว่าในทุก ๆ วันเราเข้าใกล้ความฝันของเรามากขึ้น

สุดท้าย เหตุผลที่ชัดเจน แผนการและเป้าหมายย่อย ๆ ที่ชัดเจน รวมถึงความสม่ำเสมอที่จะก้าวหน้าแม้ก้าวเล็ก ๆ ในทุก ๆ วัน จะทำให้เราสามารถพิชิตเป้าหมายที่ฝันไว้ได้สำเร็จ แน่นอนว่ามันอาจมีปัจจัยอื่นอีกที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทำให้ดีที่สุดในสิ่งที่อยู่ในกำมือของเราแล้ว

ขอให้ทุกคนกล้าที่จะฝันให้ใหญ่ แล้วพาตัวเองไปให้ถึงนะครับ