เด็ก 2 คนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ จนถึงช่วง Year 9 ที่ทั้งสองต้องแยกจากกัน ไปเข้าโรงเรียนที่อังกฤษ คนละโรงเรียนกัน
เด็กคนแรก เมื่อไปถึงก็ได้เจอกับเพื่อนใหม่กลุ่มใหญ่ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวป่วนของโรงเรียน งานหลักคือสร้างเรื่อง ส่วนการสร้างอนาคตของตัวเองนั้นไม่ได้ใส่ใจ การสอบได้เกรด D E หรือ F เป็นเรื่องปกติของเด็กกลุ่มนี้ และเมื่อถูกเรียกไปตักเตือน ก็จะตอบกลับไปว่า “ถ้าเกรดผมมันแย่จนอยากไล่ผมออก ผมย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่นก็ได้”
เด็กคนนี้ไม่ได้ถึงกับต้องย้ายโรงเรียน แต่ก็เรียนต่อจนจบ Year 13 ด้วยเกรดที่ไม่ดี เข้า University ที่อังกฤษได้ด้วยระบบ Clearing เข้าไปเรียนแล้วก็ต้องซ้ำชั้นอยู่ครั้งหนึ่ง กว่าจะถูลู่กูกังเรียนจบมาได้แบบคาบเส้น
ครอบครัวของเด็กคนนี้ไม่ได้มองว่านี่คือปัญหา จะจบที่ไหนมาก็เหมือนกัน แถมยังดีใจเสียอีกที่ที่ผ่านมาลูกไม่ได้ต้องเหนื่อย หรือทำงานหนักจนมากเกินไป แน่นอนว่าเกรดที่จบ University มา ไม่ได้สูงพอที่จะหางานดี ๆ ทำได้ แต่จะเป็นอะไรไป ในเมื่อครอบครัวร่ำรวยอยู่แล้ว กิจการที่บ้านก็มีหลากหลาย จะยกให้ทำสักอัน แค่นั้นก็เลี้ยงตัวเองได้แล้ว
แต่ด้วยความที่ทำงานหนักไม่เป็น มอบหมายอะไรให้ ทำได้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็เลิก มีปัญหาอะไรหน่อยก็บ่นและโทษคนนั้นคนนี้ไปทั่ว สุดท้ายทางครอบครัวตัดสินใจว่า งั้นไม่ต้องทำอะไรก็ได้ บ้านเรารวยอยู่แล้ว เอาเงินให้ใช้เป็นเดือน ๆ เดือนละมาก ๆ หน่อยก็เพียงพอ
ในสายตาคนทั่วไป เด็กคนนี้ช่างน่าอิจฉา ไม่ต้องทำอะไรก็มีเงินใช้ โชคดีที่เกิดมาร่ำรวย
…
ในขณะที่เด็กคนที่สอง เมื่อย้ายไปโรงเรียนใหม่แล้ว ก็ถูกแอนตี้จากเพื่อน ๆ ที่เกเร เพราะพยายามจะตั้งใจเรียน พยายามจะยกมือตอบคำถาม พยายามจะอ่านหนังสือ แต่ด้วยความมุ่งมั่น จึงสอบได้เกรดสูงมาตลอด จนสามารถสอบชิง scholarship ย้ายไปโรงเรียนระดับท็อปได้ตอน Year 12
โรงเรียนใหม่ที่ย้ายไปตอน Year 12 การแข่งขันสูงมาก เรียนหนังสือหนัก ทั้งเช้า กลางวัน เย็น เหนื่อยจนร้องไห้ในบางครั้ง แต่ก็กัดฟันสู้ จนเข้า University ที่ต้องการได้ในที่สุด แม้จะไม่ใช่ University ระดับ Top 5 แต่ก็เป็นที่ที่อยากได้จริง ๆ และเรียนจบกลับมาด้วยเกียรตินิยมมอันดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นสาขาวิชาที่ตัวเองรักและชอบมากที่สุด
ครอบครัวของเด็กคนที่สองก็ร่ำรวยไม่ได้ต่างจากครอบครัวของเด็กคนแรก แต่เด็กคนที่สองบอกครอบครัวว่าไม่ต้องยกกิจการให้ ขอลองลุยสิ่งที่อยากทำด้วยตัวเอง สุดท้ายเขาสร้างกิจการของตัวเองได้สำเร็จ แม้จะเป็นกิจการเล็ก ๆ ที่ขาดทุนในหลายปีแรก แต่ในที่สุดรายได้ก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นไปอย่างช้า ๆ และเขาก็มีความสุขที่ได้ทำงานที่ตัวเองรักทุกวัน เนื่องจากเป็นกิจการที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับสังคม บนฐานของสิ่งที่ตัวเองหลงใหล
ในสายตาของบางคน มองว่าเด็กคนนี้ทำสิ่งที่ไม่จำเป็น จะเหนื่อยมากมายขนาดนี้ไปทำไม ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์โชคดีเกิดมาร่ำรวย
…
เด็กสองคนนี้ได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจากไม่ได้พูดคุยกันหลายปี จึงมีเรื่องมากมายที่ต้องเล่าสู่กันฟัง เด็กคนที่สองเล่าให้ฟังว่าตัวเองลำบากอะไรมาแค่ไหน ผ่านอะไรมาบ้าง พอถึงตาที่เด็กคนที่หนึ่งต้องเล่าให้ฟังบ้าง เด็กคนที่หนึ่งก็เล่าว่า
“ที่บ้านให้เงินเราใช้เดือนละหลายแสน โดยที่เราไม่ต้องทำงาน เราจะกินอะไรแพงแค่ไหนก็ได้ เราจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ เราจะซื้ออะไรหรูหราแค่ไหนก็ได้
มีคนมากมายอยากเป็นแบบเรา ซึ่งแรก ๆ มันก็ดี แต่ทุกวันนี้เราตื่นเช้าขึ้นมา เราเกิดคำถามทุกเช้าเลยว่า
วันนี้เราจะทำอะไรดี
เราทำทุกอย่างหมดแล้ว เท่าที่เงินที่เรามีจะพาเราไปทำได้ แต่มันว่างเปล่ามาก ๆ จนเราเริ่มถามตัวเองว่า
เราเกิดมาทำไม แล้วเราจะอยู่ต่อไปทำไม ในเมื่อตื่นมาทุกวัน มันไม่มีอะไรที่ทำแล้วเติมเต็มหัวใจได้เลย
พอจะไปลองทำงาน จะไปลองลุยอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง มันก็ทำไม่ไหว อะไร ๆ ก็ยากไปหมด เราไม่เคยเหนื่อย เราไม่เคยลำบาก ตอนนี้จะให้เราเริ่มทำอะไรเราก็ทำไม่ได้
เราควรทำยังไงกับชีวิตต่อไปดีล่ะ”
…
ถ้าเราบ้านรวยอยู่แล้ว จะเรียนหนัก ทำงานหนัก ไปทำไม อ่านเรื่องนี้กันแล้ว ลองถามตัวเองแล้วหาคำตอบกันดูนะครับ