เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่าง A level กับ IGCSE ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า A level คืออะไร?
A level หรือ Advanced levels ในบางครั้งถูกเรียกว่า General Certificates of Education (GCE) เป็นหลักสูตรที่ใช้เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 2 ปี ถ้าเทียบกับ National Qualifications Framework แล้วจะเท่ากับ Level 3 เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเรียน A level ได้ จะต้องจบ Level 2 หรือ IGCSE/GCSE มาก่อนนั่นเอง การเรียน A level จะเน้นไปที่การศึกษาทฤษฎีที่ลึกมากขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วนักเรียนจะเลือกวิชาใน A level 3 ถึง 4 ตัว โดยวิชาที่เลือกจะขึ้นอยู่กับคอร์สเรียนที่จะศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นก่อนจะเลือกนักเรียนจะต้องศึกษาคอร์สเรียนและมหาวิทยาลัยที่จะเข้าให้ดีก่อน เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่าการเรียน A level มีความแตกต่างจาก IGCSE มากเพียงใด มาดูคำอธิบายง่าย ๆ ด้านล่างได้เลยค่ะ
Year 12 ต่างจาก IGCSE อย่างไร?
จากแผนภาพด้านล่าง จะขออธิบายง่าย ๆ ให้เข้าใจความแตกต่างของการเรียน A level และ IGCSE ความแตกต่างที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ จำนวนวิชาที่เรียน ในช่วง IGCSE ****นักเรียนจะต้องเลือก 9-11 วิชาที่คลอบคลุมกับความถนัดของตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่ด้วย IGCSE เป็นเพียง General เท่านั้น จึงไม่ยากเกินความสามารถที่จะทุ่มเทให้ได้คะแนนที่ดีมาก แต่เมื่ออยู่ในระดับ A level แล้ว ต่อให้เหลือเพียง 3 ถึง 4 วิชาเท่านั้น แต่เพราะเป็น Advanced level ความลึกและความยากของเนื้อหาจึงมีมากกว่า อัตราส่วนของ Teaching ต่อ Self-Study ก็เปลี่ยนแปลง ถ้าลองสังเกตตัวเอง ในตอนเรียนระดับ IGCSE บางครั้งต่อให้ไม่อ่านหนังสือก่อนเข้าเรียน ก็อาจจะขยันในตอนก่อนสอบได้ แต่ถ้ามาในระดับ A level แล้ว จะพบว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกต่อไป เพราะเนื้อหาที่ลึกมากขึ้น เน้นความเข้าใจมากกว่าความจำ โดยที่อัตราส่วนของ Teaching ต่อ Self-Study ในในระดับ IGCSE คือ 80 ต่อ 20 อธิบายง่าย ๆ คือนักเรียนจะได้ความรู้ในห้องเรียน 80% และอ่านเพิ่มเติมแค่ 20% ก็พอ แต่พอขึ้นมาในระดับ A level แล้ว ในช่วง Year 12 จะเหลือในห้องเรียน 50% อ่านเพิ่มเอง 50% และพอขึ้น Year 13 จะเปลี่ยนเป็นในห้องเรียน 40% และอ่านเพิ่มเองอย่างต่ำ 60% ไม่งั้นเรียนไม่รอด นั่นหมายความว่า ถ้าไม่ทำความเข้าใจในเนื้อหาไปก่อนเข้าห้องเรียน จะไม่สามารถตามทันได้ เพราะการเรียนการสอนใน A level ไม่ใช่การ Lecture แต่เป็นการมา Discuss ในหัวข้อต่าง ๆ และตรวจสอบความเข้าใจมากกว่ามานั่งสอนกัน

นอกจากวิชาที่เรียน และอัตราส่วนของ Teaching ต่อ Self-Study จะเปลี่ยนแปลงแล้ว ในระดับ A level สิ่งที่นักเรียนต้องให้ความสำคัญนอกเหนือจากการทำเกรดให้ดีคือ UCAS Timeline และการเตรียมโปรไฟล์เพื่อยื่น UCAS โดยส่วนใหญ่ Deadline สำหรับสมัครเข้ามหาวิทยาลัย Top ในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น Oxford, Cambridge, Imperial College London, University College London (UCL) และ The London School of Economics and Political Science (LSE) และการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยสาย Medicine, Dentistry และ Veterinary Medicine คือวันที่ 15 ตุลาคมของทุกปี หลายคนอาจจะมีคำถามว่า แต่โดยทั่วไปสามารถยื่น UCAS ได้ถึงวันที่ 25 มกราคม ทำไมจะต้องให้รีบยื่นตั้งแต่รอบแรก และอาจจะไม่ได้อยากเข้ามหาวิทยาลัย Top หรือสายแพทย์ คำตอบคือ ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยเหล่านั้นจะไม่ใช่ที่ ๆ นักเรียนเลือก แต่การเตรียมโปรไฟล์ที่พร้อมขนาดยื่นทัน Deadline แรกได้ เป็นการแสดงให้ทางมหาวิทยาลัยเหล่านั้นเห็นว่า คุณมีความพร้อม และมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนในคณะเหล่านั้นจริง ๆ และหยิบ Application ของเรามาพิจารณาก่อน อีกทั้งถ้าเรายื่นตั้งแต่ 15 ตุลาคม เมื่อมหาวิทยาลัยพิจารณาแล้ว เราอาจจะได้รับ Offer เร็วด้วย ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำเกรดให้ดี เปรียบเทียบว่าถ้าเรายังไม่ได้ Offer จนล่วงเลยมาหลายเดือน กำลังใจเราก็จะหายไปตามความกดดัน เพราะฉะนั้นใครที่อยากมีตัวเลือกที่มากขึ้น หรือมีความใฝ่ฝันที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเหล่านี้ จำเป็นจะต้องเตรียมโปรไฟล์ตัวเองให้พร้อมก่อน โดยสิ่งที่ต้องเตรียมตั้งแต่ขึ้น Year 13 คือ
- Predicted Grade
- Achieved Grade
- Personal Statement
- Reference

จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่เตรียมมาก่อนจะขึ้น Year 13 หรือใช้เวลาใน Year 12 ในการเตรียมเท่านั้น จะไม่ทัน เพราะฉะนั้นจะต้องวางแผนการเรียนและเตรียมความพร้อมให้ดี เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้ต้องการแค่เกรดที่ดีเท่านั้น แต่ต้องแสดงความ Born to be ให้ได้ด้วย โดยผ่าน Personal Statement และ Reference รวมไปถึงภาพรวมของ Application เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่ามาเตรียมใกล้ ๆ ยื่น UCAS ก็ทัน บอกได้เลยว่าไม่ทันค่ะ ภาพด้านล่างจะแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่มหาวิทยาลัย Top ต้องการมีอะไรบ้าง?
สิ่งที่มหาวิทยาลัย Top ในอังกฤษต้องการ จะขอแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
- Self Study โดยผ่าน Academic Performance
- Study Yourself โดยการโชว์ Born to be

- Self Study โดยผ่าน Academic Performance
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น การเรียน A level คือการเลือกเพียง 3 ถึง 4 วิชาที่เราถนัดและจะไปต่อในระดับมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นการทำเกรดให้ดีเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว แต่มหาวิทยาลัยไม่ได้ต้องการแค่ Predicted Grade เท่านั้น แต่ยังขอ Achieved Grade ไม่ว่าจะเป็นคะแนน IGCSE หรือถ้าเคยสอบ AS level มาแล้ว ก็ต้องยื่นทั้งหมด รวมไปถึง English Proficiency หรือความสามารถทางภาษาอังกฤษ เช่น IELTS ซึ่งก็ต้องเตรียมตัวด้วยเช่นกัน เพราะถ้าชะล่าใจไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ Year 12 แล้วไปหวังเร่งทำคะแนนในตอน Year 13 ก็อาจจะไม่ทัน
2. Study Yourself โดยการโชว์ความ Born to be
นอกจากนั้น เราจะต้องแสดงให้ทางมหาวิทยาลัยเห็นว่าเรามีความ Born to be ในคอร์สที่เราอยากจะเรียนมากแค่ไหน โดยผ่านการเขียน Personal Statement และ Reference รวมไปถึง Additional Assessment ไม่ว่าจะเป็น Admissions Tests หรือ Portfolio และในบางมหาวิทยาลัยที่ Top อย่าง Oxford และ Cambridge จะขอ Interview ด้วย จะเห็นได้ว่าในด้าน Born to be เราต้องใช้เวลาอย่างมากในการศึกษาตัวเองให้มั่นใจ เพราะถ้าเราเขียนสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองลงไปใน Personal Statemet ทางมหาวิทยาลัยก็จะสามารถรู้ได้แน่นอน
เพื่อไม่ให้เราต้องมีรีบเร่งเตรียมสิ่งเหล่านี้กันในตอน Year 12 เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว สิ่งที่ทุกคนต้องเริ่มเลยก็คือลองถามตัวเอง เราทำตามนี้ครบก่อนขึ้น Year 13 แล้วหรือยัง? ถ้ายังอย่างน้อยที่สุดเราต้องรู้ว่าเราขาดอะไรไปบ้าง และมาวางแผนใหม่ ยังไม่สายเกินไปค่ะ