ทำไมการเตรียมตัวในช่วงก่อนขึ้น Year 13 ถึงมีความสำคัญอย่างมากต่อทุกคน เหตุผลนั้นเรียบง่ายมากค่ะ เพราะถ้าเราเตรียมตัวมาดี เลือกเรียนคอร์สที่เรา Born to be และเตรียมโปรไฟล์เราอย่างดีก่อนที่จะยื่น UCAS ในตอน Year 13 โอกาสที่เราจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่เราปรารถนาก็จะสูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเครียดอันเกิดมาจากการที่เตรียมตัวไม่ทัน หรือเลือกผิด แต่หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าในเมื่อยื่น UCAS ในช่วง Year 13 ทำไมเราถึงต้องรีบเตรียมขนาดนั้น ในบทความนี้มีคำตอบค่ะ

Why urgent?

เหตุผลที่ต้องรีบเตรียมตัวเองตั้งแต่เนิ่น เพราะว่าถ้าดูกันตาม Timeline ในการยื่น UCAS แล้ว Deadline แรก คือช่วงวันที่ 15 ตุลาคม ของปีที่อยู่ Year 13 ค่ะ หลายคนอาจจะเข้าใจว่าไม่ได้จะเข้ามหาวิทยาลัยอย่าง Top ในอังกฤษอย่างพวก Oxford หรือ Cambridge หรือด้านแพทย์ทำไมจะต้องยื่นเร็วขนาดนั้น อีกทั้ง Deadline ที่สามารถยื่นได้อีกครั้งคือเดือนมกราคมเลย เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะยิ่งเราสามารถยื่น UCAS ได้เร็วเท่าไร ยิ่งเป็นการโชว์ความพร้อมของเราให้ทาง Admission เห็นเท่านั้น เมื่อพร้อมมาก โปรไฟล์ดีมาก ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยเหล่านี้ ก็จะถูกพิจารณาและอาจจะได้ Offer เร็วกว่าที่คิดไว้ เพราะเหล่า Admission มีเวลาในการพิจารณามากขึ้น ก็เพิ่มโอกาสให้เราได้ Offer มากยิ่งขึ้นด้วย และถ้าได้ Offer เร็ว ก็จะทำให้เรามีกำลังใจในการทำเกรดให้ดีตาม Offer โอกาสที่จะเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันไว้ก็มีมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีความพร้อมให้ได้มากที่สุด และจะดีที่สุดถ้าสามารถเตรียมความพร้อมเหล่านี้ได้ก่อนขึ้น Year 13

เมื่อพูดถึงการเตรียมความพร้อม ถ้าอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยที่อังกฤษ สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมี 2 ส่วนด้วยกัน นั่นคือการโชว์ด้าน Academic และความ Born to be ของเราในการเรียน ด้าน Academic เป็นเรื่องพื้นฐานที่เราต้องทำให้ได้คะแนนที่ดีอยู่แล้ว เพราะเปรียบเสมือนหน้าบ้านให้คนเข้าไปเยี่ยมชม ถ้าคะแนนไม่ดี มันก็โชว์ให้ Admission เห็นได้ว่าเราขาดความพยายาม ความสม่ำเสมอในการเรียน และความตั้งใจ ซึ่งก็ไม่มีใครอยากได้คนแบบนี้เข้าไปเรียนด้วย อีกทั้ง ระบบอังกฤษไม่ได้ต้องการเฉพาะคนเก่งเท่านั้น หากแต่ต้องเป็นคนเก่งที่หาตัวเองเจอ และทำในสิ่งที่ตัวเอง Born to be ด้วย เพราะฉะนั้นคนที่สนใจอยากเข้าไปศึกษาต่อในระดับ Higher Education ที่ประเทศอังกฤษ ต้องคำนึงถึง 2 ส่วนสำคัญนี้ก่อนตัดสินใจด้วยทุกครั้ง เพราะการทำความเข้าใจใน 2 ส่วนสำคัญนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Academic หรือ Born to be ส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกคณะ และคอร์สที่จะศึกษาต่อ รวมถึงการเตรียมตัวเองให้พร้อม เพื่อให้เรามีโปรไฟล์ที่ดีที่สุดในการยื่น UCAS นั่นเอง และเพื่อให้มีโปรไฟล์ที่พร้อม มาดู 3 Steps ที่ทุกคนควรทำก่อนขึ้น Year 13 กันค่ะ

3 Steps ที่ทุกคนควรทำก่อนขึ้น Year 13

Step 1: Confirm your choice now

จุดเริ่มต้นของการเรียนที่ดี ก็คือกำหนดสิ่งที่เราสนใจอยากจะเรียนให้ได้ก่อน เพราะถ้ามีธงที่ชัดในใจอยู่แล้วแต่แรก ก็ไม่ยากที่จะเดินตามนะคะ แต่หากใครตอนนี้ขึ้น Year 12 มาแล้ว ยังไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเลือกเรียนต่อคอร์สไหน หรือมหาวิทยาลัยไหน ต้องรีบตัดสินใจด่วนนะคะ เพราะที่จริงแล้วขั้นตอนเหล่านี้ต้องตัดสินใจให้ได้ก่อนขึ้น Year 12 ด้วยซ้ำ โดยที่เราจะต้องเข้าไปศึกษาว่าคอร์สไหนที่เหมาะสมกับเรา เข้าไปดูเนื้อหาให้ดีก่อน เพราะคงไม่มีใครอยากเข้าไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบใช่ไหมคะ? อีกทั้งต่อให้คอร์สนั้นชื่อคล้าย ๆ กัน แต่เป็นไปได้ว่าในแต่ละมหาวิทยาลัยก็อาจจะมี Syllabus ที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราผู้ซึ่งจะเป็นนักเรียนต้องเข้าไปศึกษาให้ดีก่อนเลือก โดยเลือกประมาณ 4-5 มหาวิทยาลัย

Step 2: Check Entry Requirements

เมื่อกำหนดได้แล้วว่าเราจะเรียนคอร์สไหนบ้าง ที่มหาวิทยาลัยไหนบ้าง ลำดับต่อไปที่ต้องทำคือการตรวจสอบ Entry Requirements ค่ะ เพราะต่อให้เราเตรียมตัวมาดีในเรื่องของ Academic หรือโชว์ความ Born to be ดีแค่ไหน แต่ขาดคุณสมบัติที่จะเข้าไปเรียน เช่น เกรดไม่ถึง หรือไม่ได้สอบ Admissions Tests บางตัว (ในกรณีที่มี) ก็ไม่สามารถเข้าไปเรียนได้อยู่ดี 2 สิ่งที่ต้องทำให้ได้ก่อนก็คือ 1. Check if you meet it 

ตรวจสอบให้มั่นใจว่า Grade ของเราสามารถยื่นเข้าคอร์สนี้ที่มหาวิทยาลัยนี้ได้ และเราเลือก Subject Combinations ในตอนเรียน A-Levels 3 ถึง 4 วิชามาอย่างถูกต้องใช่ไหม นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องตัดสินใจสิ่งเหล่านี้ให้ได้ก่อนขึ้น Year 12 เพราะถ้าเราเลือก Subject Combinations ผิด เท่ากับว่าเราก็ไม่สามารถเข้าเรียนต่อในคอร์สนั้นได้เลย ทำให้เสียเวลาเพิ่มไปอีก อีกทั้งต่อให้เราเลือกวิชามาถูกต้อง แต่ทำเกรดไม่ดี ไม่ถึงตามที่เข้า Offer มา ต่อให้ Predicted Grade จะดีแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถเข้าไปเรียนได้ การตรวจสอบให้แน่ใจก่อนถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าค่ะ เพราะถ้ามีข้อผิดพลาดตรงไหนจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที

2. Check if you need it 

สิ่งต้องให้ความสำคัญในลำดับถัดไปก็คือ ตรวจสอบให้แน่ใจแล้วว่านอกเหนือจากเรื่องเกรดและวิชาที่ถูกต้อง มีสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติมอีกไหม เช่น ในบางคอร์สจะขอให้เราสอบ Additional Assessments เพิ่มเติม เช่น สายแพทย์ ซึ่งแต่เดิมใช้ BMAT แต่ในปีนี้ได้มีการยกเลิกไปแล้ว จะใช้เป็น Assessments ไหนแทน เราเองก็จะต้องตรวจสอบให้ดีตามเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยอีกครั้งก่อนสมัคร หรือในบางมหาวิทยาลัยให้มี Interview ด้วย เพื่อที่เหล่า Admission Team จะได้มั่นใจอีกครั้งว่าเราเหมาะสมจริง ๆ เมื่อรู้แบบนี้เราจะได้เตรียมตัวได้ทัน เพราะการสอบเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น Additional Assessments หรือการ Interview นั้นสามารถเตรียมตัวได้ หากมีเวลาที่มากพอ

Step 3: Boost up your profile 

เมื่อเรารู้อย่างดีแล้วว่าคอร์สที่เราจะไปสมัครหรือมหาวิทยาลัยที่เราเลือกนั้นมี Entry Requirements อะไรบ้าง ลำดับต่อไปที่เราต้องทำคือไปเพิ่มโปรไฟล์ให้กับตัวเองให้ดีพอที่มหาวิทยาลัยต้องการ นอกเหนือจากด้าน Academic ที่ต้องทำให้ได้คะแนนที่ดีอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไปพร้อมกันนั้นก็คือด้าน Born to be อย่าง Personal Statement, Reference, Additional Assessments และ Interview ค่ะ

  1. Personal Statement

การเขียน Personal Statement ให้แสดงความ Born to be ของเราให้ได้มากที่สุดนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามคืน แต่เราต้องไปทำกิจกรรมเพิ่มเติมนอกห้องเรียน เพื่อสามารถตอบโจทย์ตัวเองได้ว่า เรานั้นเหมาะสมกับสิ่งที่เราเลือกจริง ๆ เช่น

การทำ Super Curricular Activities – การทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เช่น การไป Summer School ด้าน Career ที่ตัวเองสนใจ หรือเข้าร่วม Seminar หรือ Competition ต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเรามีความสนใจมาก ๆ ในคอร์สนี้จริง ๆ

Reading – อ่านหนังสือที่นอกเหนือจากที่เรียนเพิ่มเติม เช่น หัวข้อที่เราสนใจเป็นพิเศษก็ไปทำ Research เพิ่มเติม หรืออาจจะไปศึกษามาว่า Admission Team ที่มหาวิทยาลัยนี้ที่เราสนใจจะเข้าไปเรียนเขาเขียนหนังสืออะไรบ้าง เพื่อให้เรามีความรู้ที่กว้างพอ และแสดงให้ทางมหาวิทยาลัยเห็นว่าเรามีความพร้อม สนใจด้านนี้มาก ๆ และเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี

Work experience and Internship – นอกจากทำกิจกรรมนอกห้องเรียนอย่าง Summer School และอ่านหนังสือแล้ว เพื่อให้เรามีความเข้าใจใน Career นั้น ๆ มากที่สุดก็คือการลงมือทำ เช่น ไปฝึกงานตามที่ต่าง ๆ อย่าง Investin ไปลงมือทำให้เห็นภาพเพื่อตอบตัวเองให้ได้

Personal Research – การไปทำ Research เพิ่มเติม เช่น จะเข้าเรียนคอร์สนี้ จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร มี Skills ไหนบ้าง และจะสามารถนำไปต่อยอดอะไรได้บ้าง ก็จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น

และสิ่งที่ทุกคนต้องจับตามองมากขึ้น สำหรับนักเรียนที่จะยื่น UCAS ในปี 2024 เพื่อเข้าเรียนใน September 2025 ทาง UCAS มีการเปลี่ยนรูปแบบของ Personal Statement จากแต่เดิมที่เขียนอะไรก็ได้ 4,000 ตัวอักษร มาเป็นตอบคำถาม 6 ข้อ ดังนี้

  • Motivation for the course
  • Preparedness for the course
  • Preparation through other experiences
  • Extenuating circumstances
  • Preparedness for study
  • Preferred learning style

ขณะนี้อยู่ในช่วงการ Reform และยังเปิดรับความคิดเห็นว่าสุดท้ายจะเปลี่ยนไปในรูปแบบใดบ้างการเปลี่ยนแปลงจะมีผลกับเด็กที่วันนี้เรียนอยู่ Year 11 ที่จะเข้ามหาวิทยาลัยใน ปี 2025 ส่วนเด็กที่อยู่ Year 12 ที่จะเข้าปี 2024 ทุกอย่างจะเหมือนเดิม แต่หากเราศึกษาดี ๆ แล้ว เด็กที่อยู่ Year 12 ที่จะเข้าในปี 2024 จากแต่เดิมที่อาจจะคิดว่าเขียนอะไรก็ได้ เราก็มี Guideline ให้ตัวเองมากขึ้นแล้วว่าต้องตอบแบบไหน สามารถดูคำอธิบายเพิ่มเติมได้ที่ https://fb.watch/iPSMSJQcX_/ ค่ะ

2. Reference

การเขียน Reference ให้ดีย่อมมาจากคนที่รู้จักเรามาที่สุด แต่จะหาท่านนั้นเจอ เพื่อที่จะดึงจุดแข็งของเราออกมาให้ได้มากที่สุด ก็ต้องผ่านการพูดคุยมาอย่างนาน เพราะฉะนั้นเพื่อให้มี Reference ที่เป็นประโยชน์กับตัวเรา เราเองก็ต้องให้คุณครูท่านั้นได้ลองเห็น Personal Statement ของเราก่อน ได้มี Sharing Sessions เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน รวมไปถึงเราอาจจะใส่ความคิดเห็นของตัวเองลงไปใน Reference ได้ด้วยถ้าเราและคุณครูประเมินดูแล้วว่าอาจจะเหมาะสมกว่า ทั้งนี้ต้องผ่านการพูดคุยกัน เพื่อให้ได้ Reference ที่สอดคล้องกับ Personal Statamenrt ของเรามากที่สุดนั้นเอง

3. Additional Assessments

เมื่อรู้แล้วว่ามหาวิทยาลัยต้องการให้เราทำ Additional Assessments เพิ่มเติม เราแค่ต้องอ่านเพิ่ม ฝึกฝนทำโจทย์เพิ่ม เพื่อให้เรามีคำแนนที่ดี เพราะถ้าไม่ฝึกฝนเลยแล้วไปสอบ เมื่อได้คะแนนที่ไม่ดี อาจจะไม่มีโอกาสในการแก้ตัวใหม่ เพราะฉะนั้นให้มั่นใจว่าเราจะเตรียมตัวในด้านนี้ให้ดีก่อน เพื่อไม่ให้มาเสียใจภายหลังค่ะ

4. Interview

การ Interview เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย Top โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Oxford และ Cambridge ไม่ใช่ Job Interview ที่จำคำตอบมาแล้วพูดเป็นหุ่นยนต์ หากแต่ต้องการการฝึกฝน เช่น การเข้าร่วม Skill Development Course ต่าง ๆ ไปลอง Debate ไป Competition ต่าง ๆ รวมไปถึงการเข้าร่วม เช่น Summer Course เช่น Summer ที่ Sevenoaks ที่จะช่วยฝึก Skills ของเราจากโรงเรียน IB ที่ดีที่สุดในอังกฤษ เป็นต้น

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าต่อให้ได้ University ดีแค่ไหน อยู่ที่เตรียมตัวอย่างไรก่อนขึ้น Year 13 เพราะถ้าเตรียมตัวไม่ดี ทำเกรดไม่ถึง หรือไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอ ก็ไม่สามารถเข้าไปเรียนได้ อยากให้ทุกคนมีความพร้อม ก่อนเข้าไปเรียนในคณะที่ใฝ่ฝันกันนะคะ