มหาวิทยาลัย Top ในประเทศอังกฤษ ไม่ได้มองหาเพียงแต่คนที่เก่งในด้านวิชาการ แต่พวกเขาต้องการ ‘ผู้เรียน’ ที่สามารถเปิดรับความคิดเห็นใหม่ ๆ ได้โดยไม่ได้เชื่อตั้งแต่แรกเห็น หากแต่คิดได้อย่างมีเหตุผล และคิดวิเคราะห์ได้ และที่สำคัญมี ‘Passion’ กับสิ่งที่ตัวเองเรียนอยู่ เพราะฉะนั้นเพียงแค่เกรด A-Level หรือ IGCSE ที่ดีอย่างเดียวไม่พอ แต่ถ้าอยากเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย Top ในประเทศอังกฤษ คุณต้องทำมากกว่านั้น แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง?

ก่อนที่เราจะกดยื่น UCAS เราต้องเลือกคอร์สที่จะเรียนก่อน และวิธีที่เราจะมั่นใจได้ว่าคอร์สเหล่านี้จะใช่เราจริงไหมนั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หรือมาแค่จากการเรียนในห้องเรียนเท่านั้น แต่เราต้องทำกิจกรรมเพิ่ม กิจกรรมที่จะช่วยให้เราตอบตัวเองได้ว่า ‘คุณเลือกสิ่งที่ตัวเองเรียนได้ถูกต้องแล้วใช่ไหม’ โดยปกติกิจกรรมเหล่านี้จะมีชื่อเรียกที่ฟังแล้วบางคนอาจจะคุ้นหูเลยก็คือ ‘Super-Curricular Activities’ แม้กระทั้งมหาวิทยาลัย Cambridge เอง ยังชอบคนที่ทำกิจกรรมเหล่านี้มา เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า มหาวิทยาลัย Top ในประเทศอังกฤษชอบคนที่อินกับสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วเขาดูจากอะไรถ้าไม่ใช่จากเรื่องเรียน ก็ดูผ่าน Personal Statement รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่คุณทำไปก่อนเข้ามหาวิทยาลัยนั้นเอง ถ้ายิ่งทำSuper-Curricular Activities มากเท่าไร ก็ยิ่งมั่นใจเท่านั้นว่าสิ่งที่เราเลือกนั้นถูกหรือไม่ อีกทั้งยังแสดงให้ทางมหาวิทยาลัยเห็นได้ว่าคุณนั้นมี Passion ต่อสิ่งที่เรียนมากแค่ไหน แล้ว Super-Curricular นั้นคืออะไร?

Super-Curricular Activities คืออะไร?

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า Super-Curricular คือการทำกิจกรรมนอกเหนือจากห้องเรียน แต่กิจกรรมนั้นเป็นสิ่งที่คุณอยากทำเองแล้วมีความเกี่ยวข้องกับวิชาที่เลือก คอร์สที่อยากเรียน ซึ่งจะต่างจาก Extracurricular Activities ที่เน้นทำกิจกรรมนอกเหนือจากวิชาที่เกี่ยวข้อง ที่แตกต่างออกไปเลย Super-Curricular Activities มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ทำไมถึงมีความสำคัญ?

Super-Curricular Activities สำคัญอย่างไร?

  1. ช่วยเสริมให้ Personal Statement ของเรานั้นให้ดูหนักแน่นมากขึ้น เพราะการเขียนโดยที่เราทำมาจริง มันคือการเล่าให้ฟังว่าเรานั้นไปทำอะไรมาบ้าง แล้วได้อะไรมาบ้างจากการไปทำกิจกรรมเหล่านั้น เพราะหลายคนไม่รู้จะเขียนอะไร ไม่รู้จะเริ่มอะไร เพราะไม่เคยไปทำอะไรมาก่อน การทำ Super-Curricular Activities จะช่วยได้มาก
  2. หากยังไม่มั่นใจว่าวิชาที่เราเลือก หรือคอร์สที่เราอยากไปใช้สิ่งที่เราอยากเรียนจริงหรือไม่ การไปทำ Super-Curricular Activities จะช่วยทำให้เราตอบตัวเองได้เร็วขึ้น และง่ายกว่ามาก ยกตัวอย่าง ถ้าเราได้ไปเรียน Summer School ในด้านอาชีพ เมื่อได้ลองเรียนแล้วจะรู้เลยว่า ถ้าได้เรียนแบบนี้ชอบไหม หรือได้ไปฝึกงานตามอาชีพ ก็จะยิ่งตอบได้เลยว่า งานแบบนี้เหมาะกับเราไหม แต่ในทางกลับกัน หากไม่เคยได้ลองทำเลย ก็จะไม่เกิดภาพแบบนี้ เพราะไม่เคยปฏิบัติจริง
  3. อย่างที่บอกไปแล้วว่า มหาวิทยาลัย Top ชอบคนที่อินกับสิ่งที่เรียน ชอบคนที่มี Passion มาก ๆ หรือเขาต้องการคนที่ Born to be นั่นเอง เพราะการไปทำกิจกรรมบางอย่างนอกห้องเรียนในด้านที่ตัวเองสนใจ มันแสดงออกให้ทาง Admissions Team เห็นว่าคุณนั้นมีความสนใจในสิ่งที่คุณเรียนมากจริง ๆ โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ อีกทั้งยังไปหาเรียนเองด้วย เพราะฉะนั้นถ้ายิ่งทำกิจกรรม Super-Curricular Activities มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้โปรไฟล์เราน่าสนใจมากขึ้นและแน่นมากขึ้นเท่านั้น
  4. เมื่อเราไปทำ Super-Curricular Activities มามากพอ ในสมองของเราจะเกิดไอเดียใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น รวมไปถึงมีความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเลือกมากขึ้น เพราะได้ลองไปเรียย ได้ลองไปฝึกงาน ได้ลองไปเพิ่มทักษะหลาย ๆ อย่างที่ในห้องเรียนให้ไม่ได้ สิ่งเหล่านั้นมันจะยิ่งเพิ่มประสบการณ์ให้กับเราเมื่อเราได้ถูกเรียกสัมภาษณ์ เพราะการสัมภาษณ์ในมหาวิยาลัย Top ไม่ใช่การถามตอบผิวเผิน หากแต่เป็นการมา Discuss กันกับคณาจารย์ในคณะนั้น ๆ ที่เราสนใจอยากเข้าไปเรียน ลองนึกภาพว่าเราไม่เคยได้ทำกิจกรรมอะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่เราเลือกมา ไม่เคยได้ลองแสดงความคิดเห็นเลย เมื่อตอนที่ถูกเรียกเราก็ประหม่า และอาจจะทำได้ไม่ดีพอ การทำ Super-Curricular Activities จะช่วยให้เราเจนเวที และกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลมากขึ้น

ที่กล่าวไปข้างต้น เป็นเพียงแค่ 4 ข้อเท่านั้นที่ได้จากการทำ Super-Curricular Activities ที่จริงแล้ว ถ้ายิ่งทำมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เรายิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้นว่าสิ่งที่เราเลือกมานั้น ‘ถูกต้องและใช่’ เราที่สุด แล้วมีกิจกรรมไหนบ้างที่เรียกว่า ‘Super-Curricular Activities’

กิจกรรมไหนบ้างที่เรียกว่า ‘Super-Curricular Activities’

มีกิจกรรมมากมายที่ทำได้ จะยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น

  1. การอ่านหนังสือ อ่านเรื่องที่เราให้ความสนใจ เช่น นิตยสารที่เฉพาะเรื่อง หรือ Journals ที่ตีพิมพ์ตามวารสารต่าง ๆ
  2. ไปพิพิธภัณฑ์หรือไปสถานที่ ๆ เกี่ยวข้องกับวิชาหรือคอร์สที่เราสนใจ เพื่อไปเพิ่มแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง
  3. ดูภาพยนตร์หรือสารคดีที่เกี่ยวข้องก็ได้
  4. ฟัง Podcasts ที่เน้นเรื่องที่เราสนใจ ก็จะยิ่งเปิดมุมมองให้เรามากขึ้น
  5. เข้าร่วมงานสัมมนาต่าง ๆ หรือถ้ามีโอกาสได้เข้าฟัง Lectures จากอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เราอยากไปก็ยิ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจมากขึ้น
  6. ไปเข้าร่วมการแข่งขันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราสนใจ ก็จะยิ่งทำให้โปรไฟล์เราน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะเลือกไปเอง แสดงว่ามี Passion อย่างมาก
  7. ไปลง Summer School ที่เน้นด้าน Career อย่างเช่นที่ ProEd เพื่อไปเตรียมความพร้อมว่าในแต่ละสาขาที่เลือกเขาเรียนอะไรกันบ้าง หลายที่ยังช่วยเราในการเตรียม UCAS และได้ไปฝึกงานด้วย
  8. ไปฝึกงาน อย่างเช่นที่ InvestIN อยากเป็นอาชีพไหนก็ไปฝึกงานในสายอาชีพนั้น ไม่มีอะไรเห็นภาพได้ชัดเท่ากับลงมืออีกแล้ว

มาถึงตรงนี้ คงจะพอตอบคำถามได้นะคะว่าทำไม Super-Curricular Activities ถึงมีความสำคัญขนาดนี้ หากใครที่ยังไม่ได้มีโอกาสไปทำ Super-Curricular Activities เลย แล้วอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ มาให้เราช่วยหากิจกรรมที่เหมาะสมกับทุกคนกันนะคะ กิจกรรมที่สามารถทำได้ในช่วง Summer นี้มีมากมาย ไม่ว่าจะมาทำ Career Test เพื่อค้นหาตัวตน ได้รู้ว่ากิจกรรมแบบไหนที่เหมาะสมกับเรา หรือเราควรไป Summer School และฝึกงานที่ไหนดีให้โปรไฟล์เราแน่นมากยิ่งขึ้น อย่าให้ Summer ปีนี้เสียเวลาไปกับการทำสิ่งที่ไม่ได้ช่วยพัฒนาตัวเรา มาทำ Super-Curricular Activities กันเถอะค่ะ