Top UK Uni ต้องการคนเก่ง ที่หาตัวเองเจอ

คำว่าคนเก่ง พิสูจนได้ไม่ยาก ด้วยการมีผลการเรียนที่ดี ทั้งผลการเรียนที่ได้มาก่อนแล้วก่อนที่จะสมัคร UCAS ไม่ว่าจะเป็น IGCSE หรือ AS-level และผลการเรียนที่กำลังจะได้มา ซึ่งครูที่โรงเรียนต้องแสดงในรูปแบบของ Predicted Grade

ส่วนคำว่าหาตัวเองเจอนั้น ปัจจุบัน Top UK Uni พิจารณาจาก Personal Statement, Reference, Additional Assessments และ Interview และจากทั้ง 4 อย่างนี้ Personal Statement เป็นด่านแรก ที่เราจะต้องทำให้เขาเชื่อว่า เราหาตัวเองเจอแล้วจริง ๆ ว่าเราคือคนที่ใช่สำหรับสิ่งที่จะสมัครเรียนจริง ๆ

ปัจจุบัน Personal Statement คือการเขียน Essay ความยาว 4,000 ตัวอักษร เพื่อบอกว่าเราเหมาะสมกับสิ่งที่เราจะสมัครเรียนอย่างไร ในอนาคตอันใกล้นี้ Personal Statement จะถูกแบ่งออกเป็นคำถามย่อย ๆ 6 ด้าน เพื่อให้ตอบคำถามได้ละเอียดขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่ Top UK Uni จะยังคงมองหาอยู่เสมอคือ แล้วเราทำอะไรมาบ้าง เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า เรานั้นเหมาะสมจริง ๆ

Super Curricular Activities ของมันต้องมี

Super Curricular Activities คือสิ่งที่ Top UK Uni คาดหวัง มันหมายถึงสิ่งที่เราเลือกที่จะทำด้วยตนเอง ไม่ได้มีใครมาบังคับ เพื่อที่จะได้เรียนรู้และมีประสบการณ์กับสิ่งที่เรากำลังจะเลือกเรียนมากขึ้น เพราะถ้าเราเลือกเองโดยไม่ได้มีใครมาบังคับ นั่นหมายความเราอยากที่จะทำมันจริง ๆ และนั่นคือสิ่งที่ใช้พิสูจนว่าเรามีความเหมาะสมจริง ๆ กับสิ่งที่เราจะเลือก

Super Curricular Activities มีได้หลายอย่างมาก ๆ

  • อ่านหนังสือหรือ Reading ไม่ใช่หนังสือเรียน แต่เป็นหนังสือที่ทำให้เรามีความรู้ ความเข้าใจ ในด้านนั้น ๆ มากขึ้น
  • การ Research เพิ่มเติมนอกเหนือไปจากในห้องเรียน
  • การทำ Project ต่าง ๆ ต่อยอดจากสิ่งที่เราค้นคว้าวิจัยเอาไว้
  • การเข้าร่วม Competition เพื่อประยุกต์สิ่งที่เราได้เรียนรู้มา
  • การไป Summer School ที่เกี่ยวข้องเพื่อเรียนรู้ในด้านนั้น ๆ ให้มากขึ้น
  • การฝึกงานหรือทำ Work Experience ที่จะทำให้เรามีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสนใจจริง ๆ มากขึ้น

โจทย์ที่น่าสนใจคือ แล้วอะไรกันที่มีความสำคัญมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Reading ซึ่งเป็นสิ่งที่เริ่มทำได้ง่ายมาก กับ Work Experience ที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้ทำ

คนจำนวนมากทำ Work Experience อย่างไร้ค่า

เมื่อเรามีโอกาสได้ไปทำ Work Experience บ่อยครั้งที่เรื่องที่เราจะต้องไปเจอนั้น มันยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจหรือเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราไม่ได้มีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องมาก่อน เพราะการไป Work Experience มันคือการไปดูงาน หรือทดลองทำงานในที่ที่เขาทำงานกันอย่างจริงจัง พอเป็นแบบนั้นแล้วเราพบว่าคนจำนวนหนึ่งกลับมาจาก Work Experience แบบไม่ได้อะไร

บางคนเน้นปริมาณ ไป Work Experience มาหลายที่ มีโชคดีในชีวิต ที่มีคนหาที่ฝึกงานในองค์กรใหญ่ ๆ มีชื่อเสียงได้ แต่พอมาเขียนเล่าใน Personal Statement มันกลับจืดชืดไม่น่าสนใจ อ่านแล้วก็พอจะบอกได้ทันทีว่า ไม่ได้รู้สึกสนุกหรือตื่นเต้นแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าอะไรต่าง ๆ มันยากเกินไป เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในเบื้องต้น หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้สนใจด้านนั้นจริง ๆ รู้แค่ว่าควรไปทำ Work Experience ให้มี profile ก็เลยไป

และนั่นก็นับเป็นการไปทำ Work Experience ที่ไร้ค่าและเสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง

คนจำนวนหนึ่งอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง

ใน Personal Statement ของคนจำนวนหนึ่ง จะมีการใส่ชื่อหนังสือที่ตัวเองอ่านลงไปอย่างน้อย 1 – 2 เล่ม แต่นั่นยังไม่เพียงพอหรอกที่จะทำให้ Top UK Uni เชื่อได้ว่า เราสนใจในสิ่งที่เราจะเลือกจริง ๆ เพราะแค่เขียนชื่อหนังสือ แล้วสรุปสั้น ๆ ว่าได้เรียนรู้อะไรจากหนังสือนั้น ใคร ๆ ก็ทำได้ เราพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ เขาอ่านหนังสือเยอะกว่านั้นมาก ๆ แต่เพราะที่ของ Personal Statement นั้นมีจำกัด จึงเขียนถึงได้แค่ 1 – 2 เล่มเท่านั้น

เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนั้นจริง ๆ คนบางคนเมื่ออ่านหนังสือได้เยอะ ๆ แล้ว ก็ต้องหาทางเข้าใจให้มากขึ้นด้วยการทำอย่างอื่น การทำ Research จึงตามมา การทำ Project จึงตามมา การไปเข้าร่วม Competition จึงตามมา และอาจต่อยอดไปถึงการไปหา Summer School ที่เหมาะสมกับตัวเอง และสุดท้ายก็คือการหา Work Experience ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ตัวเองเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ จริง ๆ

คนเหล่านี้เมื่ออ่านหนังสือแล้วเขาจะสงสัย พอไปทำ Work Experience เขาก็จะไปเพื่อหาคำตอบของข้อสงสัยนั้น ๆ แล้วก็จะไปเจอคำถามใหม่ ๆ ที่ต้องทำให้กลับมาค้นคว้าและอ่านหนังสือเพิ่มเติม เมื่อได้เรียนรู้เพิ่มเติมแล้ว ก็จะพร้อมสำหรับการไปลอง Work Experience ครั้งใหม่ ๆ เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

Reading กับ Work Experience เปรียบดั่งมือซ้ายและมือขวา

อ่านหนังสืออย่างเดียว ประสบการณ์จริงก็ไม่ได้เห็น ทำ Work Experience แบบไม่มีความรู้ความเข้าใจ ก็ไม่ได้อะไรกลับมา เพราะฉะนั้น Reading กับ Work Experience จึงเป็นเหมือนมือซ้ายกับมือขวา ที่ต้องช่วยกันลงมือทำ ช่วยกันปั้น ช่วยกันสร้างสรรค์ตัวเราขึ้นมา ให้พัฒนาและเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ

เพราะฉะนั้น Top UK Uni คงไม่ได้ชอบอะไรมากกว่า แต่คนที่เขาจะชอบมากที่สุด ก็คือ คนที่มีกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสม อ่านหนังสือแล้วค้นคว้า ค้นคว้าแล้วจึงไปลงมือทำและหาประสบการณ์ต่าง ๆ เมื่อลงมือทำและมีประสบการณ์ต่าง ๆ แล้วก็กลับมาอ่านหนังสือและค้นคว้ากันต่อไป แบบนี้แหละที่จะสามารถเรียกตัวเองได้ว่า เป็นคนที่ใช่สำหรับสิ่งที่กำลังจะเลือกอย่างแท้จริง

ไม่ใช่แค่ Reading หรือ Work Experience เพียงแค่เพื่อสร้าง profile เท่านั้น แต่ทำเพราะรัก เพราะชอบ เพราะสนุก เพราะหลงใหลในสิ่งนั้นจริง ๆ คนแบบนี้แหละคือคนที่ Top UK Uni ต้องการ