ผมเพิ่งได้ฟังเรื่องราวสะเทือนใจ 2 เรื่อง

เรื่องแรก เด็กคนหนึ่งขอเข้าพบคุณครูที่โรงเรียนหลังจากผลสอบ AS-level หรือการสอบปลาย Year 12 ออกมา คะแนนของเด็กคนนี้ไม่ดีเท่าไร แต่โอกาสเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ยังมีอยู่หากครูยอมให้โอกาสในการสอบแก้ตัว และทำคะแนน Predicted Grade ที่สูงขึ้นให้

สิ่งที่เด็กคนนี้เล่าให้ฟังก็คือ คุณครูบอกว่า “ผมจะไม่ให้โอกาสคุณในการสอบแก้ตัว และผมจะไม่ทำ Predicted Grade ที่สูงขึ้น เพื่อให้คุณเลือกมหาวิทยาลัยดี ๆ เหล่านั้นได้ด้วย”

พอเด็กคนนั้นถามว่าทำไม คุณครูก็ตอบว่า “จากประสบการณ์ของผม คุณไม่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นไปได้ อีกอย่างคุณควรยอมรับว่าเป็นจริง ว่าคุณมีความสามารถอยู่แค่ไหน เอาเกรดแค่นี้ ไปสมัครมหาวิทยาลัย แล้วเลือกที่ที่เหมาะกับคุณก็พอ มันก็คงจะยังได้มหาวิทยาลัยดี ๆ อยู่บ้างแหละ”

คุณพ่อคุณแม่คิดอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ครับ ?

ในความเป็นจริงแล้ว เด็กมีเวลาตั้งเดือนกว่า ๆ เกือบสองเดือนหลังผลสอบ Year 12 ออก ก่อนที่จะถึงวันสมัครมหาวิทยาลัยผ่านระบบ UCAS ในเวลาดังกล่าว ถ้าเด็กคนนั้นมุ่งมั่นตั้งใจ อ่านหนังสือ ทบทวน ทำข้อสอบเก่า เตรียมตัวดี ๆ แล้วลองสอบใหม่ แล้วคะแนนดีขึ้นมา นั่นก็น่าจะเป็นการพิสูจน์แล้วว่าเด็กคนนี้ทำได้ดีขึ้น คุณครูก็ควรจะให้โอกาส แต่นี่คือเชื่อไปก่อนแล้วว่าเด็กจะทำไม่ได้ บอกเด็กว่าอย่าเสียเวลาเลย ทำลายโอกาสทิ้งตั้งแต่เด็กยังไม่ได้เริ่มลงมือทำและพิสูจน์ตัวเองให้ดู

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับลูกของคุณพ่อคุณแม่ ในวันที่เขาผิดพลาด แล้วพร้อมตั้งใจจะทำใหม่ให้ดีขึ้น แต่กลับไม่ได้รับโอกาสจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณครู คุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกอย่างไรครับ ?

ในโรงเรียนที่ดีพอในประเทศอังกฤษ เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น โรงเรียนจะให้โอกาสเด็กก่อนเสมอ เพราะครูที่มีคุณภาพเขาจะมี mindset อย่างหนึ่งที่เชื่อว่าการเรียนรู้เป็น skill เป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความมุ่งมั่นและตั้งใจพอแม้ในเวลาอันสั้น ทุกอย่างก็ย่อมจะเป็นไปได้ น่าเสียดายที่โอกาสแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นกับบางโรงเรียนนอกประเทศอังกฤษที่ mindset ของครูเชื่อไปแล้วตั้งแต่ต้นว่า เด็กทำได้แค่ไหนก็คือแค่นั้น พัฒนาอะไรไม่ได้อีกแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งได้ยินมา เด็กเรียนเก่งระดับท็อปคนหนึ่ง มีความมุ่งมั่นตั้งใจ จะสอบ IGCSE ให้ได้ A* ทุกวิชา พอข่าวนี้ลอยไปถึงหูคุณครูท่านหนึ่ง คุณครูก็เรียกเด็กคนนี้ไปพูดคุยว่า

“เราไม่ต้องมุ่งมั่นที่จะทำ A* ในทุกวิชาก็ได้ ถ้าจะเอาจริง ๆ เอาแค่วิชาที่คิดว่าจะเรียนต่อใน A-level ก็พอ หลักสูตรไม่ได้ออกแบบมาให้เราทำ A* ทุกตัวอยู่แล้ว”

คุณพ่อคุณแม่ฟังคำแนะนำจากคุณครูข้างต้น แล้วรู้สึกอย่างไรครับ ?

IGCSE มันคือการเรียนความรู้ระดับความรู้ทั่วไป เป็นแค่ General Knowledge นั่นคือ ถูกออกแบบมาให้ทำ A* ได้ไม่ว่าจะเป็นวิชาที่ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ขอแค่เด็กรู้หน้าที่ตัวเอง เรียนให้ครบ self-study ให้ถึง ทบทวนทำ past papers ย้อนหลังเยอะ ๆ ล่วงหน้า จะเอา A* กี่ตัวก็ทำได้ ปกติเราจะบอกเด็ก ๆ เสมอว่า ตั้งเป้าไปเลยว่าจะเอา A* ทุกตัว แล้วลงมือทำให้เต็มที่ ได้ไม่ได้คืออีกเรื่อง แต่ให้ลงมือทำให้เต็มที่ว่าจะเอาทุกตัวให้ได้ เพราะถึงเวลาจริง ถ้าเราตั้งเป้าว่าจะเอา A* แค่ 2-3 ตัว สุดท้ายความพยายามที่ไม่มากพอ และความหย่อนยานที่เราอนุญาตให้ตัวเองไม่ต้องทำให้เต็มที่นั้น จะส่งผลให้ผลงานออกมาแย่กว่าที่ควรจะเป็นเสียอีก

การสอนเด็กคนหนึ่งว่าไม่ต้องสู้ให้เต็มที่ก็ได้ ทำอะไรแค่พอผ่านก็ได้ มันเป็นการปลูกฝังวิธีคิดที่พ่ายแพ้ให้กับเด็กคนนั้น สุดท้ายเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะเลือกอะไรที่เรียกว่า Easy way out หรือทางออกง่าย ๆ อยู่เสมอ เขาจะเริ่มรู้สึกว่าความพยายามไม่ต้องมากก็ได้ ไม่ต้องสู้มากก็ได้ และจุดอ่อนของคนเหล่านี้คือ เมื่อถึงวันที่ต้องสู้จริง ๆ แต่ไม่เคยฝึก skill ในการต่อสู้ ในการทำงานหนัก ในการทำให้ดีที่สุดมาเลย สุดท้ายเขาก็จะแพ้ แบบไม่มีใครช่วยได้อีกต่อไป

จริง ๆ แล้วเรื่องราวสะเทือนใจ คำพูดของคุณครูที่ทำร้ายเด็ก ๆ ด้วยการสอนให้เด็ก ๆ ยอมแพ้ ด้วยการสอนให้เด็ก ๆ ยอมรับทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือทำให้เต็มที่นั้น มีอีกหลายเรื่องมาก ๆ สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องตรวจสอบนะครับ ว่าคุณครูที่กำลังสอนลูก ๆ ของเราอยู่นั้น เขามี mindset แบบไหน มีวิธีพูดแบบไหน เขาเป็นคนที่พยายามผลักดันลูกเราให้ทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ให้ตั้งเป้าสูง ๆ ให้ทำงานหนัก ให้สู้ ให้เต็มที่ที่สุดกับหน้าที่ที่ต้องทำ หรือ เขาพยายามสอนลูกเราให้เป็นคนอ่อนแอ

สุดท้าย ในวันที่ลูกเราโตเป็นผู้ใหญ่ เขาต้องยืนหยัดได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะมีอะไรก็ตามเกิดขึ้นกับชีวิต ซึ่งในวัยเรียนนี้ถ้าเขาถูกสอนว่าให้ยอมแพ้เสียเถิดทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วยังไม่ต้องยอมแพ้ก็ได้ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วโอกาสยังมีอยู่ แล้วเขายอมรับกับแนวคิดแบบนี้ โตขึ้นเขาก็จะแพ้จริง ๆ แล้ววันนั้น เราจะช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยครับ