ถึง น้อง ๆ ที่สมัคร Oxford/Cambridge ทุกคนครับ

น้อง ๆ บางคนที่สมัคร Oxford/Cambridge ไป น่าจะเริ่มถูกเรียกให้ไปสัมภาษณ์กันแล้ว ยังไงก็ขอแสดงความยินดีในเบื้องต้นด้วยนะครับ

ส่วนบางคนก็อาจจะกำลังรออยู่ว่าเขาจะเรียกสัมภาษณ์ไหม หรือเมื่อไรจะเรียกสักที ก็ขอให้ใจเย็น ๆ นะครับ เร็ว ๆ นี้ขอให้ได้ฟังข่าวดีครับ

สำหรับน้อง ๆ ที่สมัคร Oxford/Cambridge ไปแล้วแต่ถูกปฏิเสธมาแล้ว ก็ไม่เป็นไรนะครับ มันยังไม่ใช่จุดจบของชีวิตนะครับ จดหมายฉบับนี้ยังเกี่ยวกับน้อง ๆ อยู่ ขอให้อ่านต่อไปก่อนนะครับ

สำหรับน้อง ๆ ที่กำลังจะต้องไปสัมภาษณ์ หลายคนเริ่มมีความกังวลว่า Oxford กับ Cambridge จะสัมภาษณ์อย่างไร จะเตรียมตัวได้ดีพอไหม แล้วสุดท้ายจะได้ offer อย่างที่ต้องการหรือไม่ ก็อยากจะบอกว่าถ้าเขาเรียกเราสัมภาษณ์ แปลว่าเราเตรียมตัวมาดีระดับหนึ่งแล้วครับ

Oxford กับ Cambridge และมหาวิทยาลัยระดับท็อปในประเทศอังกฤษ คัดเลือกคนที่มีความ Born to be เข้าไปเรียน เพราะฉะนั้นถ้าเรียกสัมภาษณ์ก็แปลว่าเราได้แสดงความ Born to be ของเราไประดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกรดต่าง ๆ ที่เราทำได้ดี (ซึ่งตรงนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าเรา self-study ถึงเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ด้วย) หรือ Personal Statement และ Reference ที่เราส่งไป รวมถึงคะแนนสอบ Admissions Tests ต่าง ๆ ที่สอบไปแล้ว ก็เหลือแค่ขั้นตอนของการสัมภาษณ์หรือ Interview เท่านั้นเองที่จะเป็นตัวตัดสินขั้นสุดท้าย เรา Born to be จริง ๆ หรือไม่ และเหมาะกับเขาจริง ๆ หรือไม่

เพราะฉะนั้น เบื้องต้นขอให้มั่นใจก่อนว่าเราดีพอ เรา Born to be พอ เหลือแค่การพิสูจน์ให้เขาเห็นอีกแค่ด่านเดียวก่อนที่จะได้ offer ครับ

การ Interview ของ Oxford และ Cambridge นั้นเขาจะเอาอาจารย์ที่ passionate ในด้านนั้นมาก ๆ มาพูดคุยกับเรา จริง ๆ แล้วบรรยากาศมันคือคนที่รักและชอบและ Born to be ในเรื่องเดียวกันมานั่งคุยกัน เพราะฉะนั้น หลัก ๆ คือการแสดงให้เขาเห็นว่าเราอ่านเรื่องนี้มาเยอะ ศึกษาเรื่องนี้มาเยอะ และใช้ชีวิตที่ผ่านมาอยู่กับเรื่องนี้เป็นหลัก ยิ่งเราแสดงความหลงใหลในสิ่งที่เรากำลังจะเลือกได้มากแค่ไหน เขาก็จะยิ่งเห็นความ Born to be ของเรามากขึ้นเท่านั้นครับ

และแน่นอนว่า Oxford และ Cambridge ชอบถามคำถามหรือให้เราแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ดูสด ๆ ในห้องสัมภาษณ์ จำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า เขาไม่ได้คาดคั้นที่จะต้องการคำตอบที่ถูกต้องที่สุด เขาแค่อยากเห็นว่าเวลาเราเจอปัญหาที่ยากหรืออาจจะไม่เคยเจอมาก่อน เราจะสามารถผ่านมันไปได้อย่างไร เรามีทักษะในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในสภาพที่กดดันได้อย่างไร เรามีกระบวนการในการคิดต่าง ๆ เป็นอย่างไร บ่อยครั้งที่คนที่ผ่านการสัมภาษณ์และได้รับ offer ไม่ใช่คนที่ตอบคำถามทุกข้อได้ถูกทั้งหมด แต่คือคนที่พยายามที่จะตอบ และพยายามให้ดีที่สุดในสิ่งที่ตัวเองรู้ และเมื่อไม่รู้ก็กล้าที่จะเปิดรับคำแนะนำหรือความเห็นต่าง ๆ เพื่อที่จะไปต่อให้ได้

Oxford และ Cambridge เคยพูดเอาไว้ในวันที่ทีมงานของเราไปคุยกับ Admissions Team ของเขาว่า เขาต้องการนักเรียนที่ teachable เขาต้องการคนที่สอนได้ เขาไม่ได้ต้องการคนที่เป็นน้ำเต็มแก้ว แน่นอนว่าเราก็ต้องมีน้ำในแก้วมาบ้าง ต้อง Born to be ในด้านที่เลือกมา แต่ก็อยากจะมาเรียนรู้เพิ่มและพัฒนาตัวเองเพิ่มที่นี่ เพราะฉะนั้นความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองรู้ก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่ความถ่อมตัว ยอมรับ เปิดกว้างในสิ่งที่ยังไม่รู้ ก็เป็นคุณลักษณะที่สำคัญเช่นกันครับ

ถามว่า แล้วเวลาที่เหลือนี้จะเตรียมตัวอย่างไรได้บ้าง เอาเป็นว่าหลักการที่ง่ายที่สุดคือทำเหมือนเดิมครับ เคยอ่านหนังสืออย่างไรก็อ่านเหมือนเดิม เคยค้นคว้าเพิ่มเติมในด้านที่สมัครเรียนอย่างไรก็ทำเหมือนเดิม สำคัญที่สุดคือ ทำให้มันเป็นเรื่องปกติ เหมือนเราจะเตรียมสอบนั่นแหละครับ มันก็แค่เหตุการณ์หนึ่งในชีวิต มันสำคัญครับแต่ไม่ได้สำคัญถึงขั้นชี้เป็นชี้ตาย อย่างที่ย้ำแต่แรก เรา Born to be แล้วระดับหนึ่ง เราแค่เตรียมตัวอีกนิดหน่อยให้มีความมั่นใจมากขึ้น แล้วก็ไปสัมภาษณ์แบบนั้นแหละครับ

ความเครียด ความกดดันระหว่างนี้ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันเกิดขึ้นก็รับรู้มันแล้วทำงาน ทำหน้าที่ของเราต่อไป ไม่ต้องคิดมากไปถึงขั้นว่าแล้วถ้าไม่ผ่านสัมภาษณ์ ไม่ได้ offer จะทำอย่างไร ยังไม่ต้องไปคิดอะไรแบบนั้นครับ เพราะสิ่งที่อยากจะบอกก็คือ …

Oxford/Cambridge ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตครับ … สำหรับน้อง ๆ ที่กำลังจะไปสัมภาษณ์ สิ่งเดียวที่น้อง ๆ ทำได้คือทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถ้าทำได้สำเร็จ ก็แปลว่าเราเหมาะกับเขาจริง ๆ แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็แปลว่าเราอาจจะเหมาะกับที่อื่นมากกว่า ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราไม่ได้ต้องการมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดหรอกครับ เราต้องการมหาวิทยาลัยที่เหมาะกับเราที่สุดมากกว่า ถ้าได้ก็ฉลอง ถ้าไม่ได้ก็ไปเรียนที่อื่นที่เหมาะกับเรา แล้วก็ทำหน้าที่ของเราต่อให้ดีที่สุด ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ไปสัมภาษณ์ที่ Oxford/Cambridge นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก ๆ แล้ว เอาประสบการณ์ตรงนั้นใช้เป็นจุดต่อยอดในชีวิตต่อไปนะครับ

สำหรับน้อง ๆ ที่อาจจะโดนปฏิเสธไปแล้ว อย่างที่บอกตอนแรกครับว่านี่ไม่ใช่จุดจบของชีวิต เราก็แค่เลือกที่ที่เหมาะที่สุดกับเรา อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ได้ก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง สมัครมหาวิทยาลัยระดับท็อปโลก นั่นก็ทำให้ชีวิตเราก้าวขึ้นไปอีกระดับแล้ว เป็นประสบการณ์ที่น้อยคนนักจะได้สัมผัสครับ

การถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยใด ๆ ก็ตามไม่ใช่ความล้มเหลวในชีวิตเลย มันกลับเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ว่าในสถานการณ์ที่เราเสียใจ เราจะรักษาใจของตัวเองและทำหน้าที่ต่อไปได้อย่างไร และความผิดพลาดใด ๆ ที่เราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เราถูกปฏิเสธนั้น หากเราเรียนรู้จากมันได้ เราก็ฉลาดขึ้นนะครับ

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มองมันให้เห็น ยอมรับ แล้วเราจะเห็นประโยชน์จากสิ่งนั้นครับ

สุดท้ายนี้ ใครกำลังจะไปสัมภาษณ์ก็ขอให้ทำให้ดีที่สุด เรา Born to be อยู่แล้ว เราแค่ไปเป็นตัวของตัวเอง ไปทำให้เขาเห็น ใครผิดหวังไปแล้วก็ขอให้รู้ไว้ว่าเราโชคดีมาก ๆ แล้วที่เรากำลังจะได้ไปเรียนต่อในที่ที่เหมาะสมกับเรามากกว่า การถูกมหาวิทยาลัยปฏิเสธไม่ได้แปลว่าเราเลว ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนไม่ดี ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนล้มเหลว ไม่มีใครแปะป้ายแบบนั้นให้เราได้ เราเป็นเราที่เหมาะสมที่สุดอยู่แล้วครับ พาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดครับ

ขอเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คนครับ