ใครที่เรียนระบบอังกฤษ วางแผนทำ Work experience กันไว้หรือยังครับ ?
รู้ไหมครับว่า Work experience เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ๆ เพราะเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยดี ๆ ในประเทศอังกฤษมองหา ใครที่ทำ Work experience ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ก็จะมีโอกาสได้รับคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยดี ๆ ในอังกฤษมากขึ้น และแน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัว วางแผน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่เสียเปล่า บทความในวันนี้ เราจะมาคุยเรื่องนี้กันครับ
ทำไมต้องทำ Work experience ?
มหาวิทยาลัยที่อังกฤษให้ความสำคัญกับคนที่หาตัวเองเจอมาก ๆ ว่า Born to be อะไร ซึ่งนอกจากการเลือกเรียนในวิชาที่ใช่ หรือการค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ ในด้านที่ตัวเอง Born to be แล้ว การทำ Work experience ในด้านที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตัวเอง Born to be ก็เป็นการแสดงให้มหาวิทยาลัยเห็นตัวตนที่ชัดเจนของเราได้เหมือนกัน และในความเป็นจริง Work experience คือสิ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดในการแสดงความ Born to be ด้วยครับ
เราจะถ่ายทอด Work experience ที่ไปทำมาให้มหาวิทยาลัยทราบได้อย่างไร ?
หนึ่งในสิ่งที่จะแสดงความเป็นตัวเราให้มหาวิทยาลัยได้ทราบนั้นก็คือ Personal statement ที่ต้องเขียนส่งไปตอนทำ UCAS application ตอนต้น Year 13 ครับ ซึ่งในนั้นนอกจากการแสดงความ Born to be ด้วยวิธีต่าง ๆ แล้ว เราจะต้องเขียนเล่าถึง Work experience ที่ไปทำมาด้วย ซึ่งจะต้องไม่ใช่แค่การบอกว่าไปทำอะไรที่ไหน แต่ต้องเป็นการเล่าให้มหาวิทยาลัยทราบได้ว่า เราได้เรียนรู้อะไรจากการทำ Work experience นั้น ๆ และเราได้พัฒนา skills อะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังจะเลือกเรียนบ้าง
วางแผนทำ Work experience ให้เริ่มตั้งแต่ก่อนขึ้น Year 9
จริง ๆ แล้วการเตรียมตัวทำ Work experience นั้น ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนขึ้น Year 9 เลยครับ ใครอ่านมาถึงตรงนี้ถ้า Year 9 หรือโตกว่านั้นไปแล้วอย่าเพิ่งตกใจ บางอย่างยังย้อนกลับไปทำได้ แต่อาจจะต้องรีบหน่อยครับ ยิ่งโตยิ่งต้องรีบ เพราะเวลาจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ
ขั้นแรกของการวางแผนทำ Work experience คือการทำ Career Test ก่อนขึ้น Year 9 เพื่อให้รู้คร่าว ๆ ว่าอาชีพที่เหมาะสมกับเรามีอาชีพประมาณไหนบ้าง จากนั้นเลือกวิชาที่จะเรียน IGCSE ให้ครอบคลุม แล้วตั้งใจเรียน IGCSE ให้เต็มที่ ทำทุกวิชาให้ดีที่สุด ตั้งเป้าว่าจะเอา A* ทุกตัวให้ได้ ซึ่งการที่เราทุ่มเทกับ IGCSE แบบสุด ๆ ในทุกตัวนั้น สุดท้ายเราจะเริ่มมีความชัดเจนขึ้นว่าเราควรเลือกเรียนอะไรต่อไปในระดับ A-level
และใน Year 9 ถึง Year 11 นี้ หลังจากที่ได้ทำ Career Test และทราบผลแล้ว ให้เริ่มเอารายชื่ออาชีพต่าง ๆ ที่ได้มานั้น มาศึกษาให้มากขึ้น ลองอ่านข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอาชีพนั้น ๆ ถ้าทำทุกอย่างแบบจริงจังพอ เราจะเลือกได้แน่ ๆ ครับว่าอาชีพที่เราสนใจจริง ๆ คืออะไร คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนของการทำ Work experience ในขั้นแรกแล้วครับ
Work experience ขั้นแรกคือแบบกว้าง ๆ
เราควรทำ Work experience ครั้งแรกคือตั้งแต่เริ่ม Year 11 จนถึงปิดเทอม Summer ก่อนขึ้น Year 12 เอาให้ได้สัก 3 – 4 ที่ โดยแต่ละที่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจจะทำต่อไปอนาคต แต่อาจจะยังไม่ต้องเจาะลึกมาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราสนใจจะเรียนต่อด้าน Engineering แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็น Engineering ตัวไหน ก็ให้หาที่ทำ Work experience 3 – 4 ที่ให้เป็น Engineering ในด้านที่ต่าง ๆ กัน อย่างเช่น ที่แรกเป็น Mechanical Engineering ที่ต่อมาเป็น Civil Engineering ที่ต่อมาเป็น Electrical Engineering เป็นต้น
การทำ Work experience มากถึง 3 – 4 ที่ให้เรียบร้อยก่อนจะขึ้น Year 12 นั้น ก็เพื่อให้เรามีโอกาสชิมลักษณะการทำงานที่ใกล้เคียงกัน และให้เราเกิดภาพเกี่ยวกับอาชีพนั้น ๆ มากขึ้น ซึ่งถึงจุดนี้เราจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นว่า ถ้าต้องระบุให้เฉพาะเจาะจงลงไปอีก สิ่งที่เหมาะกับเราจริง ๆ ควรจะเป็นแนวไหนอย่างไร และนั่นจะนำไปสู่การทำ Work experience ในขั้นต่อมาครับ
Work experience ขั้นต่อมาคือแบบเจาะลึก
ภายใน Year 12 จนถึงปิดเทอม Summer ก่อนขึ้น Year 13 นั้น เราควรหาทำ Work experience อีกสัก 2 แห่ง แต่คราวนี้ให้เจาะลึกมากขึ้นกว่าเมื่อปีก่อน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเมื่อปีก่อนเราทำ Work experience ใน Engineering หลาย ๆ ด้านแล้วชอบ Mechanical Engineering มากที่สุด การทำ Work experience คราวนี้ก็ควรเจาะลึกทั้ง 2 แห่งไปที่ Mechanical Engineering เพื่อเรียนรู้งานเฉพาะทางในด้านนี้ให้ลึกลงไป โดยทั้ง 2 ที่ควรมีความแตกต่างกันในลักษณะงานที่ทำหรือ skills ที่จะได้รับบ้าง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้มากที่สุดครับ
การทำ Work experience ในขั้นตอนนี้ จะทำให้เราเห็นภาพเกี่ยวกับอาชีพที่เราสนใจมากขึ้นและละเอียดขึ้น เมื่อเรานำเรื่องราวของ Work experience อย่างกว้าง ๆ ในขั้นแรกและอย่างลึก ๆ ในขั้นที่สองมารวมกันแล้ว มันจะเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการเขียน Personal statement เพื่อทำ UCAS Application ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ที่อังกฤษต่อไป

Summer school ก็นับว่าเป็น Work experience เช่นกัน
นอกจากการหา Work experience ตามบริษัท ห้างร้าน หรือองค์กรต่าง ๆ ทำแล้ว การไป Summer school ในประเทศอังกฤษในด้านที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่จะสมัครเรียนหรืออาชีพที่จะทำในอนาคต ก็นับว่าเป็น Work experience ได้เหมือนกัน
นั่นหมายความว่า เราควรพิจารณาไป Summer school ที่ให้เรามีประสบการณ์เกี่ยวกับอาชีพที่เรา Born to be อย่างกว้าง ๆ ตอนช่วงปิดเทอม Summer ก่อนขึ้น Year 12 และควรพิจารณาไป Summer school ที่ให้เรามีประสบการณ์เกี่ยวกับอาชีพนั้น ๆ ที่ลึกขึ้นตอนปิดเทอม Summer ก่อนขึ้น Year 13
ยกตัวอย่างเช่น ปิดเทอม Summer ก่อนขึ้น Year 12 ให้หา Summer school ที่ให้ไอเดียเราเกี่ยวกับเรื่องของ Engineering ในภาพรวม ส่วนปิดเทอม Summer ก่อนขึ้น Year 13 ให้ไป Summer school ที่เป็นเฉพาะทางด้าน Mechanical Engineering เป็นต้น

และการไป Summer school ดี ๆ ต้องใช้ Personal Statement
Summer school ดี ๆ ในอังกฤษที่เราจะสามารถไปเรียนรู้เจาะลึกเกี่ยวกับอาชีพที่เราสนใจได้นั้น หลาย ๆ ที่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Summer school ที่มหาวิทยาลัยดี ๆ เป็นผู้จัดนั้น การจะสมัครเข้าไปเรียนได้จะต้องมีการเขียน Personal statement และเขาจะไม่ได้รับทุกคนที่สมัคร แต่คัดจากคนที่ Personal statement ดีมาก ๆ เท่านั้น คำว่าดีมาก ๆ ในที่นี้ก็คือมีตัวตนที่ชัดเจนมาก ๆ ว่า Born to be และสนใจในด้านนี้จริง ๆ
เพราะฉะนั้น คำแนะนำคือ เมื่อขึ้น Year 10 แล้วให้เริ่มเขียน Personal statement ฉบับแรก โดยใช้เวลา 1 ปีในการค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ เก็บประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ จากนั้นให้ Personal statement ฉบับแรกนี้เสร็จตอนขึ้น Year 11 ซึ่งจะเป็นช่วงที่ต้องทำเรื่องสมัครไป Summer school ที่จะต้องไปในช่วงของปิดเทอม Summer ก่อนขึ้น Year 12 พอดี ตอนนั้นเราก็จะสมัครได้ทันทีเพราะมี Personal statement ที่พร้อมแล้ว
ระหว่างที่กำลังอยู่ Year 11 ก็พัฒนา Personal statement ฉบับที่สองเป็นเวลาอีก 1 ปี เพื่อให้เสร็จตอนขึ้น Year 12 ซึ่งเราจะมีประสบการณ์ที่ได้จาก Summer school และ Work experience ก่อนขึ้น Year 12 มาเขียนเพิ่มด้วย ทำให้พอขึ้น Year 12 แล้วเรามี Personal statement ที่ดีพอที่จะใช้สมัครไป Summer school ที่จะต้องไปในช่วงของปิดเทอมก่อนขึ้น Year 13
และแน่นอนว่าตั้งแต่ต้น Year 12 นี้ เราก็พัฒนา Personal statement ฉบับที่สามต่อเป็นเวลาอีก 1 ปี บวกกับประสบการณ์ที่จะได้จาก Summer school และ Work experience ก่อนขึ้น Year 13 เราก็จะได้ Personal statement ฉบับที่สมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อใช้ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ที่อังกฤษผ่าน UCAS Application ครับ

คำถามคือ เตรียมตัวมาดีขนาดนี้ทั้งการทำ Work experience การไป Summer school และการเขียน Personal statement แล้วเราจะพลาดเป้าหมายจากมหาวิทยาลัยดี ๆ ที่อังกฤษได้อย่างไรกัน
สรุปแล้ว Work experience เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่จะทำให้โอกาสที่เราจะได้รับคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยดี ๆ ในอังกฤษมีมากขึ้น นอกจากนี้การไป Summer school และการเขียน Personal statement ตั้งแต่เนิ่น ๆ นั้นก็เป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ทุกอย่างอยู่ที่การวางแผนครับ ถ้าวางแผนดี แล้วเดินตามแผน ทุกอย่างก็จะสำเร็จได้โดยง่าย
ถามตัวเองนะครับว่าทั้งหมดที่แนะนำมานี้ วันนี้เริ่มทำแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มได้แล้วนะครับ เป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คนครับ