“ปกติ IGCSE เขาเรียนกันกี่วิชา แล้วต้องได้เกรดเท่าไรคะ”
คุณแม่บ้านหนึ่งถามผมเมื่อหลายปีก่อน คำตอบที่ผมให้คุณแม่ไป เป็นคำตอบที่ผมใช้เป็นประจำเวลาได้ยินคำถามนี้ ผมตอบไปว่า “ปกติเขาเรียนกัน 9 – 11 วิชา แล้วก็ควรตั้งเป้าว่าจะเอา A* ให้ได้ทุกตัวครับ”
“เห็นเขาเขียนเอาไว้ว่า ทำแค่ 5 ตัว แล้วได้ C ทุกตัว ก็ผ่านแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะนี่คือประโยคที่หลาย ๆ คนก็มักจะพูดกับผมเสมอเช่นกันว่า เกณฑ์ขั้นต่ำเขากำหนดเอาไว้เท่านี้ ซึ่งทุก ๆ ครั้ง ผมก็จะชี้แจงไปเหมือนเช่นครั้งนี้ว่า “นั่นคือเกณฑ์ขั้นต่ำครับคุณแม่ มันไม่เพียงพอที่จะใช้ในการสมัครเรียนต่อ แล้วก็ไม่เพียงพอต่อความรู้ที่จำเป็นกับชีวิตประจำวันด้วยนะครับ”
“เหรอคะ แต่คุณแม่ก็ไม่รู้ว่าจะให้น้องเขาเรียนเครียด ๆ ไปทำไม เอาแค่ผ่าน ๆ ให้มันจบ ๆ ไปก็พอ คุณแม่ว่าเกรดมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
… ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กคนนี้ คือ น้องเลิกไปโรงเรียน เลิกเรียนหนังสือ อยู่บ้านเล่นเกม ไม่ก็ออกจากบ้านไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่ทำงาน ไม่ทำอะไรที่จะมีผลดีต่ออนาคต และอายุ 25 ปีแล้ว …
หลัง ๆ มานี้ หลาย ๆ คนจะมีความคิดในทำนองว่าโลกของการทำงาน กับ โลกของการเรียน มันเป็นคนละโลกกัน การตั้งใจเรียนให้ดี การได้เกรดสูง ๆ การจบมหาวิทยาลัยดี ๆ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานหรือเรื่องราวของชีวิตจริง พอเป็นเช่นนั้นแล้ว หลาย ๆ คนก็จะเริ่มสอนลูกว่าการเรียนมันไม่ใช่เรื่องจำเป็น เรียนแค่พอผ่านก็พอ ไม่ต้องเรียนเยอะ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องทำให้ดีที่สุด
ผมเห็นด้วยครับว่า ทุกวันนี้เกรดที่ได้ ใบปริญญาบัตร มันมีความสำคัญน้อยลงมาก ๆ จริง ๆ ในโลกของการทำงาน แต่สิ่งที่ไม่เคยหายไปเลย และมีความสำคัญอยู่เสมอคือ Mindset ของการทำให้ดีที่สุด
ไม่ว่าคุณจะอยากประสบความสำเร็จในการทำงาน การเป็นเจ้าของกิจการ หรือการทำสิ่งใด ๆ ก็ตาม คำว่าทำให้ดีที่สุด มันจะอยู่ตรงนั้นเสมอ และคำว่าทำให้ดีที่สุดนี้ เป็นเรื่องของทักษะ (skill) ที่ต้องฝึกฝน และ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาฝึกฝนเอาตอนอายุเยอะ ๆ เพราะไม้แก่ย่อมดัดยาก ถ้าไม่ฝึกฝนกันตั้งแต่เด็ก ๆ คนบางคนก็จะไม่เคยเข้าใจหรือสามารถทำให้ดีที่สุดได้อีกเลย
และแน่นอนว่า การทำให้ดีที่สุด มันอยู่ตรงข้ามกับคำว่า การทำอะไรแค่พอผ่าน เรียนก็แค่พอผ่าน สอบผ่าน ๆ จบ ๆ ไป ไม่ต้องได้อะไร การสนับสนุนและสอนลูกให้มีความคิดแบบนี้ มันคือการทำร้ายเขาโดยตรง เพราะมันเป็นการสอนเขาว่าชีวิตไม่ต้องดิ้นรน ชีวิตไม่ต้องต่อสู้ ชีวิตไม่ต้องเหนื่อย ชีวิตไม่ต้องหนัก เมื่อเชื่อเช่นนี้ เติบโตขึ้นแล้ว อะไรง่ายก็ทำ อะไรยากก็ไม่ทำ อย่างกรณีตัวอย่างข้างต้น อยู่บ้านเล่นเกมมันง่าย ออกไปเที่ยวกับเพื่อนมันง่าย แล้วก็อย่างกรณีของเด็กคนนี้ อาจจะโชคดีตรงที่เผอิญบ้านมีฐานะ จึงไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องทำมาหากิน
ผมไม่ได้แช่งนะ แต่ถ้าวันหนึ่งทางบ้านยกกิจการให้เด็กคนนี้ดูแล ผมมั่นใจว่าเจ๊ง เพราะถ้าเขาไม่เคยมี Mindset ของการทำอะไรอย่างตั้งใจ หรือทำอะไรทำให้ดีที่สุดมาก่อน เขาก็จะคิดว่าธุรกิจเป็นของง่าย ๆ สุดท้ายมันก็จะพังลงอย่างง่าย ๆ เช่นกัน
หรือถ้าวันหนึ่งมีเหตุไม่คาดฝัน พ่อแม่ด่วนจากไป เหลือมรดกทิ้งเอาไว้ให้ ไม่กี่ปีก็อาจจะถูกผลาญหมดไป เพราะมันตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่เคยลุกขึ้นมาทำอะไรได้สำเร็จเลย
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกมากที่สุด คือ การสอนให้รู้จักหน้าที่ เคารพในหน้าที่ และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าในวัยเรียนหน้าที่คือการเรียน ก็ต้องสอนเขาว่ามาตรฐานเขาต้องเรียนกันกี่วิชา ก็ต้องเรียนตามนั้น ไม่ใช่แค่พอผ่าน ถ้าเขามีเกรด A* ให้เราคว้าได้ เราก็ต้องลงมือทำงานหนักระดับที่จะเอา A* ให้ได้ แน่นอนว่าสุดท้ายผลลัพธ์ในชีวิตมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป เราอาจจะไม่ได้ A* ทุกตัว แต่เราจะไม่เสียใจเลยหากเราทำให้เต็มที่แล้ว และที่สำคัญคือ จิตใจของเราได้ถูกฝึกฝนแล้ว
University of Oxford เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ย้อนกลับไปดูเกรดของเด็กตั้งแต่ IGCSE ว่าได้ A* เยอะแค่ไหน เราเคยถามเขาว่าทำไมคุณไม่ดูแค่ A-level เขาบอกว่า ตอน IGCSE เด็กเรียนหลายวิชา แน่นอนว่าคงชอบทุกวิชาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี ถ้าเด็กพิสูจน์ได้ว่า จะเป็นสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ ก็ไม่เกี่ยว แต่ทำออกมาได้ดีที่สุดเท่า ๆ กัน นั่นคือเขาเป็นเด็กที่มีความเหมาะสมกับความเป็น Oxford คือมี Mindset ของความเป็น Perfectionist เป็น Mindset ของคนที่จะเอาตัวรอดในวันข้างหน้าได้
สิ่งที่เราต้องแยกให้ออกคือ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเกรด แต่เกรดเป็นตัวที่ทำให้เขาเห็นว่า Mindset ของเด็กที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เขาให้ความสำคัญกับ Mindset ของเด็กครับ ว่าเป็นนักสู้ รับผิดชอบ ทำงานหนัก ทำให้ดีที่สุด ได้มากแค่ไหน
เพราะฉะนั้น สอนลูกให้สู้ สอนลูกให้คว้าทุกอย่าง หนักก็เอา เบาก็สู้ อันนี้คือ Mindset ที่เขาต้องมี ในวันที่เขากำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไป ในวันที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว ในวันที่อาจจะเหลือตัวเขาแค่คนเดียวแล้วเขาต้องเอาตัวรอดให้ได้
คุณพ่อคุณแม่สามารถทำร้ายลูกได้อย่างเจ็บปวดที่สุด ด้วยการสอนให้ลูกเป็นคนขี้แพ้
ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นคนขี้แพ้ อย่าสอนเขาให้ทำอะไรแค่พอผ่านครับ