หากใครก็ตามที่กำลังจะไปเรียนต่อ กำลังหางานหรือต้องการไปใช้ชีวิตในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก จะต้องคุ้นหูกับการทดสอบภาษาอังกฤษที่มีชื่อว่า IELTS โดยวันนี้ ขอนำข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ IELTS และประสบการณ์การสอบ IELTS Academic test  แบบ on computer ในช่วง COVID- 19 นี้ เผื่อน้องที่กำลังเตรียมตัวไปเรียนต่อนะคะ

IELTS คืออะไร?

สำหรับ IELTS หรือชื่อเต็ม คือ International English Language Testing System เป็นชุดทดสอบภาษาอังกฤษ สำหรับบุคคลที่สนใจไปเรียนต่อ กำลังหางานหรือต้องไปใช้ชีวิต ที่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น Australia, Canada, New Zealand, the UK หรือ USA.

โดย IELTS มีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. IELTS Academic test  (for study): เหมาะสำหรับบุคคลที่จะไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรี โท หรือเอก รวมถึง Top high school ชั้นนำ ที่อยู่ในต่างประเทศ
2. IELTS General Training (for work หรือ for migration): เหมาะสำหรับบุคคลที่สนใจย้ายไปทำงานหรือย้านถิ่นฐานไปอยู่ประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น  Australia, New Zealand หรือ UK

การสมัครสอบ

สำหรับช่วงสถานการณ์ COVID-19 นี้ ในประเทศไทย ศูนย์สอบ IELTS ทั้ง 2 ที่ คือ British council และ idp ยังเปิดสอบตามปกติ แต่อาจจะต้องเช็ควัน-เวลา และสถานที่ที่ทางศูนย์จัดสอบก่อน และทำการสมัคร Online ผ่านทางเว็บไซต์

idp : https://ielts.idp.com/thailand

 British council: https://www.britishcouncil.or.th


ค่าสมัครสอบ IELTS แต่ละประเภท มีดังนี้

  • IELTS แบบกระดาษ : 6,900 บาท( รอผล 13 วัน)
  • IELTS แบบ Computer : 6,900 บาท( รอผล 3-5 วัน)
  • IELTS for UKVI : 7,710 บาท (มีทั้งแบบกระดาษและคอมพิวเตอร์ สำหรับวีซ่าและการตรวจคนเข้าเมืองแห่งสหราชอาณาจักร)
  • IELTS Life Skills : 5,800 บาท ( วัดระดับภาษาอังกฤษ A1, A2 or B1 เฉพาะ speaking and listening ของ CEFR)
    * คำแนะนำ ไม่ว่าจะสมัครสอบแบบไหน ขอให้ตรวจสอบประเภท IELTS กับสถานที่ ที่เราจะต้องใช้ผลสอบก่อนทุกครั้ง

    การชำระเงิน มี 3 แบบ ได้แก่ การโอนชำระผ่านธนาคาร การจ่ายที่ 7-11 หรือชำระที่ศูนย์สอบโดยตรง

    เกณฑ์การให้คะแนนของ IELTS

    การทดสอบมีทั้งหมด 4 Parts ได้แก่ Listening, Reading, Writing และ Speaking โดยเกณฑ์การให้คะแนนจะอยู่ 0-9 ซึ่งแต่ละ Parts จะมีการประเมินที่แตกต่างกัน แล้วนำคะแนนของทั้ง 4 Parts มาเฉลี่ยให้อยู่ในระดับเกณฑ์ 0-9



    โดย IELTS requirement สำหรับการเรียนต่อนั้น ส่วนใหญ่มักจะดูคะแนนรวมเป็นหลัก ตามด้วยกำหนดคะแนนที่ต้องผ่านในแต่ละ Parts ยกตัวอย่าง
  • การสมัครเข้าโรงเรียน Oxford International College ที่ UK ในระดับ A-Level ต้องมีคะแนนรวมของ IELTS ไม่ต่ำกว่า 6.5 
  • สำหรับมหาวิทยาลัย ระดับ Bachelor’s degrees เช่น สาขา Art ที่ UAL ขอคะแนนรวมของ IELTS ไม่ต่ำกว่า 6.0 (แต่ละ Parts ไม่ตำ่กว่า 5.5) สาขา Biochemistry ที่ Imperial college ขอคะแนนรวมของ IELTS ไม่ต่ำกว่า 7.0 (แต่ละ Parts ไม่ตำ่กว่า 6.5) และสาขา Psychology ที่ Oxford university ขอคะแนนรวมของ IELTS ไม่ต่ำกว่า 7.5 (แต่ละ Parts ไม่ตำ่กว่า 7.0) 
  • ส่วนประเทศอื่นๆ ตัวอย่างเช่น Otago university ที่  New Zealand สาขาในระดับ Bachelor’s degrees ส่วนใหญ่จะขอ IELTS ไม่ต่ำกว่า 6.0 (แต่ละ Parts ไม่ตำ่กว่า 5.5) เป็นต้น

ทั้งนี้น้องที่มีเป้าหมายที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไหนแล้ว เพื่อความถูกต้องของข้อมูล แนะนำน้องๆควรตรวจสอบหน้าเว็บไซต์ English proficiency requirements จากมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนนั้นๆที่จะสมัครเข้าเรียนก่อน โดยดูคะแนนรวมและคะแนนในแต่ละ Parts เท่าไร เพื่อเป้าหมายที่ชัดเจนในการสอบ IELTS

ตอนนี้จะขอแชร์ประสบการณ์การสอบ IELTS Academic test แบบ on computer ช่วง COVID-19 ให้ฟังแบบละเอียดกันนะคะ

หลังจากที่ตัดสินใจสอบ เริ่มต้นเราก็เลือกประเภท IELTS ที่เราจะสอบ รวมถึงสถานที่สอบ วันและเวลาที่สะดวก เพื่อทำการสมัครสอบ พร้อมการชำระเงินแบบออนไลน์

หลังจากสมัครแล้วอย่ารอช้า อ่านหนังสือแบบเข้มข้น ฝึกทำข้อสอบ IELTS เก่าที่หาได้ตามเว็บทั่วไปกันนะคะ สำหรับเราแนะนำเว็บไซต์ฟรี https://www.english-exam.org/IELTS/ หรือจะเรียนติวก็มีให้เลือกหลากหลายที่นะคะ

ก่อนสอบประมาณ 1 เดือน ทางศูนย์สอบจะส่ง Email 2 ฉบับมาให้ผู้สมัคร ได้แก่ การ Confirm ยืนยันตัวตนด้วย ID card หรือ Passport ที่ต้องนำไปวันสอบด้วย และ Link การสอบรูปแบบ on computer มีส่งมาให้ลองฝึกทำก่อนนะคะ เพื่อให้เราเข้าใจระบบของการสอบแบบนี้ ก่อนเจอของจริงจะได้ไม่ตกใจค่ะ บอกว่าข้อสอบคล้ายๆของจริงเลยนะคะ

ก่อนหน้าวันสอบทางศูนย์สอบจะส่ง Confirm สถานที่สอบ วัน-เวลาที่เราลงสอบ รวมถึงกฎระเบียบให้อ่านก่อนนะคะ
วันสอบจริง แนะนำให้น้องๆหรือคนที่สอบไปก่อนเวลา 30 นาทีนะคะ เพราะจะต้องลงทะเบียน ถ่ายรูป และ scan ลายนิ้วมือก่อนเข้าห้องสอบ พร้อมทั้งเก็บสัมภาระทั้งหมดในตู้ที่ศูนย์สอบจะเตรียมให้ อุปกรณ์ที่เอาเข้าได้มีเฉพาะหน้ากากอนามัย ขวดน้ำใสไม่มีฉลาก และ  ID card หรือ Passport ที่ยืนยันตัวตน เท่านั้น ที่หรือทั้งหมดเก็บลงกระเป๋า แม้กระทั้งเครื่องประดับ และนาฬิกา

การสอบจะมี 4 Parts ได้แก่ Listening, Reading, Writing และ Speaking เราเลือกสอบช่วงเช้า ซึ่งจะสอบ 3 Parts  ได้แก่ Listening, Reading, Writing โดยจะสอบพร้อมกันในคอมพิวเตอร์ที่ถูกจัดเตรียมให้ ก่อนเข้าระบบ กรรมการคุมสอบจะแจกรหัสของผู้สอบ เพื่อเข้าสู่ระบบการสอบของแต่ละ Parts  และเมื่อสอบเสร็จ ขอบอกว่าระหว่างจบแต่ละ Parts ไม่มีเวลาพักให้ผู้สอบก็รอ Part ต่อไปเลย ดังนั้นแนะนำให้เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้าห้องสอบ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็สามารถแจ้งกรรมการที่คุมสอบได้ ศูนย์สอบจะมีเตรียมหูฟัง กระดาษจด ดินสอ และยางลบ ไว้ให้ด้วย ส่วนช่วงบ่าย จะเป็น Speaking จะสอบกับกรรมการที่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งเราเลือกเวลาได้เอง

รายละเอียดการสอบแต่ละ Parts มีตามนี้

1.Listening ใช้เวลา 40 นาที โดยต้องฟัง 4 เรื่อง เรื่องละ 10 ข้อ ทั้งหมด 40 ข้อ ซึ่งฟังได้เพียง 1 รอบเท่านั้น  ข้อสอบจะมีเวลาให้เราได้อ่านคำถามก่อน 1-2 นาที และพอทั้งหมดจบเวลาจะเหลือให้ตรวจประมาณ 2 นาที สำหรับคำถามก็ไล่ตามความง่ายไปยาก ซึ่งคำตอบที่มีหลากหลายรูปแบบให้ทำ เช่น เติมคำ เลือกตัวเลือก จับคู่ ดูแล้วคล้ายๆแบบกระดาษ แต่ง่ายกว่าตรงที่คลิกลากไปตอบได้เลย


*ข้อดี คือ มีเวลาให้เราสามารถจัดการเวลาได้ชัดเจนมีการเตือนก่อนหมดเวลา 5 นาที  ปรับระดับเสียงได้ตามความเหมาะสมของผู้สอบ ปรับขนาดตัวอักษรและสีได้ถ้าต้องการ


2. Reading ใช้เวลา 60 นาที โดยต้องอ่าน 3 เรื่อง ทั้งหมด 40 ข้อ  สำหรับคำถามก็ไล่ตามความง่ายไปยาก ซึ่งคำตอบที่มีหลากหลายรูปแบบให้ทำ เช่น เติมคำ เลือกตัวเลือก จับคู่ เช่นเดียวกับ Listening Part



*ข้อดี คือ มีเวลาให้เราสามารถจัดการเวลาได้ชัดเจน มีการเตือนก่อนหมดเวลา 10 นาที และ 5 นาที ปรับขนาดตัวอักษรและสีได้ถ้าต้องการ สามารถคลิกขาวทำ Highlight และ Note ได้เหมือนทำในกระดาษ

3.Writing  ใช้เวลา 60 นาที ในการเขียนทั้งหมด 2 แบบ คือ
– Task 1 แนะนำให้เขียน 20 นาที ส่วนนี้โจทย์เขียนเกี่ยวกับการอ่านผลกราฟ แผนภูมิ หรือตาราง ที่เราอาจจะต้องเจอในงานวิจัย โดยกำหนดให้เขียนไม่ต่ำกว่า 150 คำ


– Task 2 แนะนำให้เขียน 40 นาที เนื่องจากส่วนนี้มีเน้นในห้องว่าจะได้คะแนน Mark มากกว่า จะเขียนแบบเป็น essay ซึ่งโจทย์จะเป็นการเขียนอธิบายความคิดเห็น เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ตามหัวข้อที่ให้มา โดยกำหนดให้เขียนไม่ต่ำกว่า 250 คำ


*ข้อดี คือ มีเวลาให้เราสามารถจัดการเวลาได้ชัดเจนมีการเตือนก่อนหมดเวลา 10 นาที และ 5 นาที  มี Auto Word Count ผู้สอบไม่ต้องนับเอง สะดวกมากๆ

4. Speaking ใช้เวลา 10-15 นาที จะสอบกับกรรมการที่เป็นชาวต่างชาติ 1:1 แบ่งเป็น 3 Parts ย่อย ตามนี้
– Part 1 เป็นคำถามเกี่ยวกับหัวข้อทั่วไป โดยให้เราตอบจากประกาณ์ในชีวิตหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
– Part 2 เป็นคำถามมาให้ประมาณ 3-4 คำถาม โดยเราสามารถดูคำถามได้ จด Note ในกระดาษได้ ภายใน 1 นาที จากนั้นก็ตอบคำถามให้ครบถ้วน โดยใช้เวลาการตอบประมาณ 1-2 นาที
– Part 3  เป็นคำถามเกี่ยวข้องกับหัวข้อใน Part 2 โดยให้เราตอบแบบแสดงความคิดเห็น

สำหรับช่วง COVID-19 นี้ แนะนำว่าใครที่มีเวลาเตรียมตัวแล้วจะตัดสินใจสอบ IELTS ที่ศูนย์สอบทั้ง 2 ศูนย์ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะทางศูนย์มีมาตรการดูแลที่ดี เช่น ให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดการสอบ บริการเจลล้างมือทุกครั้งที่สัมผัสกับอุปกรณ์ต่างๆ มีฉากกั้นระหว่างสนทนากับกรรการคุมสอบ ในกรณีถ้าใครที่ลงสอบแล้วป่วยหรือต้องกักตัว รวมถึงต้องฉีดวัคซีน เพราะ COVID-19 ก็สามารถแจ้งกับทางศูนย์สอบได้เลยนะคะ แต่อาจจะต้องมีหลักฐานประกอบด้วยค่ะ

” ขอให้ทุกๆคนที่ตั้งใจจะสอบ IELTS โชคดีในการสอบ และได้คะแนนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยนะคะ ^-^ “

อ้างอิงจาก:

https://www.britishcouncil.or.th/exam/ielts?ds_rl=1298667&gclid=CjwKCAjw-ZCKBhBkEiwAM4qfF4Y0nZQ2xQz_qOR8EGwUCGTVjkNAmd0PcBV_XonAA-YCndXhsGVzwRoC0QcQAvD_BwE&gclsrc=aw.ds

https://www.ielts.idp.co.th/computer_th.aspx?gclid=CjwKCAjw-ZCKBhBkEiwAM4qfF64SduiwrjHbGB3WuDMWZedBaeCtY6f6gjKXA9-oD68UCoLRRARiIBoC0roQAvD_BwE