หลาย ๆ บ้านไม่อยากให้ลูกเป็น Artist
การเป็น Artist ไม่ได้ผิดอะไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่านิยมของบ้านเราชอบมองว่างานทางด้าน Art นั้น ไม่เหมาะกับการทำมาหากินมากนักเมื่อเทียบกับอาชีพยอดนิยมอื่น ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ในบ้านเราชอบให้ลูกไปเป็น ไม่ว่าจะเป็นหมอ หรือ วิศวกร หลาย ๆ บ้านถึงกับมาปรึกษาว่าจะเปลี่ยนใจเขาอย่างไร ให้เขาเลือกที่จะไปทำอย่างอื่นดี
ผมมักจะถามกลับไปว่า คุณพ่อคุณแม่กลัวลูกตกงานเหรอครับ ? กลัวเขาไม่มีงานทำ ไม่มีอนาคตเหรอครับ ? ถ้าคุณพ่อคุณแม่พยักหน้ากลับมา ผมก็มักจะบอกกลับไปว่า
“อาชีพไหนก็ตกงานได้ครับ ถ้าลูกคุณพ่อคุณแม่ไม่เก่งจริง”
ในประเทศที่เจริญแล้ว ทุกวิชาถือว่าเท่าเทียมกัน Art ก็เช่นกัน
ในบ้านเรา วิชา Art ชอบถูกมองว่าเป็นกิจกรรมเสริม ไม่มีน้ำหนัก เทียบไม่ได้กับวิชาอย่าง Math, Physics, Chemistry, Biology ผมไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้หลักสูตรไทยเป็นอย่างไร แต่ถ้ามันยังเหมือนแต่ก่อน จำนวนคาบเรียนวิชา Art นั้นถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับวิชาหลักอื่น ๆ
แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว ยกตัวอย่างเช่นอังกฤษ หลักสูตรของเขาเช่นในระดับ IGCSE นั้น Art ถือว่าเป็นวิชาหนึ่งที่เทียบเท่ากับวิชาอื่น ๆ จำนวนคาบเรียนเท่ากัน เครดิตที่ได้จากการสอบเท่ากัน เป็นที่ยอมรับเท่า ๆ กัน แถมไม่พอ Oxford Cambridge และหลาย ๆ มหาวิทยาลัยระดับท็อปในอังกฤษยังบอกอีกว่าใครเรียน Art ในระดับ IGCSE ถือว่ามีความสามารถพิเศษเพราะเป็นการแสดงความสมดุลระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา
ในระดับ A-level เองนั้น Art ถือว่าเป็น Tier 1 subject หรือวิชาระดับท็อปเทียบเท่ากับ Math, Physics, Chemistry, Biology, History, Geography, Economics, English, และ Further Math เลยทีเดียว เพราะถือว่าเป็นวิชาที่เรียนยาก งานหนัก และผู้เรียนต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการเรียนรู้และพัฒนา skills ต่าง ๆ
เพราะฉะนั้นคนเรียน Art จบ Art ในมุมมองของประเทศที่เจริญแล้วนี่คือเก่งไม่ธรรมดาเลยนะครับ
Central Saint Martins แห่ง University of the Arts London ไม่รับเด็กจบ A-level เข้าไปเรียนปี 1
ปกติจบ A-level แล้วถ้าคุณสมบัติอื่น ๆ ดีพอ ก็จะสามารถเข้าไปเรียนต่อปี 1 ในมหาวิทยาลัยที่อังกฤษได้ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใด ๆ แม้กระทั่ง Medicine (หมอ) หรือ Engineering ในบางมหาวิทยาลัยที่ถือว่าสอบเข้ายากมาก ๆ แต่เรื่องนี้ไม่จริงสำหรับการสอบเข้าปี 1 ของ Central Saint Martins ของ University of the Arts London ครับ
University of the Arts London คือหนึ่งในมหาวิทยาลัยด้าน Art ที่ดีที่สุดของอังกฤษ และมี Central Saint Martins เป็น College ของที่นี่ที่ถือว่ามีชื่อเสียงที่สุด ซึ่งการจะเข้าไปเรียนในสาขาหลัก ๆ ของ Central Saint Martins ได้นั้น การจบแค่ A-level ถือว่าไม่เพียงพอ นักเรียนจะต้องเรียนเพิ่มอีก 1 ปีก่อนเข้าปี 1 เสมอ เรียกว่าการเรียน Foundation in Art and Design เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนจะมีความพร้อมจริง ๆ ในการเข้าไปเรียนปี 1 ได้จริง
หรือไม่งั้นนักเรียนจะต้องจบมาจากโรงเรียน International School of Creative Arts (ISCA) ด้วยหลักสูตร Foundation Plus ซึ่งรวบการเรียน Foundation เข้าไปกับการเรียน A-level ถึงจะถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอได้ นี่แสดงให้เห็นว่าการเข้าไปเรียน Art นั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายเลย และนั่นก็หมายความนี่ไม่ใช่สาขาวิชาที่ง่าย หรือเป็นอาชีพที่ง่ายเลยเมื่อเทียบกับอาชีพอื่น ๆ
เมื่อทำสิ่งที่รัก สุดท้ายก็นำมาซึ่งความสุข
จากที่กล่าวไปข้างต้น Art ไม่ใช่สาขาวิชาหรืออาชีพที่ขี้เหร่เลยสำหรับประเทศที่เจริญแล้ว คำแนะนำของผมคือ ถ้าลูกชอบจริง ๆ คุณพ่อคุณแม่ให้เขาทำตามที่เขาฝันเถอะครับ เพราะเมื่อเขาทำในสิ่งที่รัก ชีวิตเขาก็จะมีความสุข
อันนี้ตรงตามหลักการของ Ikigai ซึ่งเป็นเคล็ดลับแห่งการมีชีวิตที่มีความสุขของชาวญี่ปุ่นครับ ว่าต้องเริ่มจากการทำในสิ่งที่รัก ที่หลงใหล เพราะเมื่อรักและหลงใหล ก็จะมีอารมณ์ร่วม มีความอยากที่จะทำสิ่งนั้นทุกวัน ๆ ซ้ำ ๆ เกิดการเรียนรู้และลงมือทำไปเรื่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไปได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเก่งในสิ่งนั้นมาก ๆ
เมื่อเก่งในสิ่งนั้นมาก ๆ ก็จะตอบสนองความต้องการของผู้คนได้มากตามไปด้วย เมื่อใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์กับคนอื่น ก็จะเห็นคุณค่าในตัวเอง เกิดความภาคภูมิใจ มีเป้าหมายชีวิต เกิดเป็นอาชีพ เกิดเป็นรายได้ เกิดเป็นความเชี่ยวชาญ
ลองคิดภาพว่า ถ้าลูกคุณพ่อคุณแม่ตื่นขึ้นมาทุกวัน ได้ทำในสิ่งที่เขารัก ทำในสิ่งที่เขาเก่ง และใช้ชีวิตได้อย่างเป็นประโยชน์กับผู้คน มีความภาคภูมิใจในทุกวัน ๆ เขาจะมีความสุขมากแค่ไหนครับ
โจทย์สำคัญของโลกยุคปัจจุบันคือ เราเก่งจริงหรือไม่
เมื่อตอนต้นผมบอกไปว่า ผมชอบพูดว่า “อาชีพไหนก็ตกงานได้ครับ ถ้าลูกคุณพ่อคุณแม่ไม่เก่งจริง” อันนี้เป็นความจริงอย่างที่สุด อย่าบอกนะครับว่าเป็นหมอไม่ตกงาน ถ้าเป็นหมอที่ไม่เก่ง ก็ไม่มีงานได้เหมือนกันครับ ซึ่งเก่งได้มากแค่ไหน ความรักที่จะทำในสิ่งนั้นก็มีผลมาก ๆ ถ้าไม่รักที่จะทำ ก็คงไม่รักที่จะพัฒนาตัวเองจนเก่งหรอกครับ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เริ่มจากสิ่งที่รัก ก็ยากที่จะเก่ง เมื่อไม่เก่ง เรื่องตกงานก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะอาชีพไหน
โจทย์คือ เราเก่งหรือไม่ และเราจะเก่งแค่ไหน
สมมติลูกคุณพ่อคุณแม่ตั้งเป้าว่า ตกลงจะเป็น Artist นี่แหละ คำถามที่ต้องชวนเขาคิดคือเขาจะพาตัวเองให้ไปสูงสุดที่จุดไหน เขาจะเก่งไปถึงระดับไหน
เก่งระดับโรงเรียน เก่งระดับจังหวัด เก่งระดับประเทศ หรือ เก่งระดับโลก
แน่นอนว่าเก่งระดับโรงเรียนหรือจังหวัด ก็คงสร้าง impact อะไรไม่ได้มาก และมันก็อาจจะเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองไม่ได้จริง ๆ คำถามคือเราพาตัวเองไปเก่งระดับประเทศหรือระดับโลกได้ไหม
ผมขอตอบตรงนี้เลยว่าได้ ยังไงก็ทำได้ ถ้าเริ่มจากสิ่งที่รัก และมุ่งมั่นตั้งใจให้มากพอ ฝึกทุกวัน เรียนรู้ทุกวัน ล้มแล้วลุกทุกครั้ง สู้ตลอด ไม่ท้อถอย ยังไงมันก็ต้องเก่งขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ตั้งเป้าทั้งที ตั้งระดับโลกไปเลยครับ เราจะเก่งที่สุด มีชื่อเสียงที่สุดในระดับโลกในสิ่งที่เราทำได้อย่างไร ถ้าตั้ง mindset แบบนี้ได้ แล้วมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ ผมการันตีกับคุณพ่อคุณแม่ได้เลยว่าลูกคุณพ่อคุณแม่ไม่มีทางล้มเหลวในสายอาชีพนี้แน่นอนครับ
สิ่งที่ควรแนะให้ลูก ๆ ทำตั้งแต่วันนี้
สาขา Art เป็นสาขาที่วัดกันที่ผลงานที่แสดงออกมา ผมสนับสนุนว่าเด็ก ๆ คนไหนที่จะไปทางด้านนี้จริง ๆ ให้เริ่มทำและสะสมผลงาน และถ้าจะให้ดี ให้เริ่มสร้าง gallery แสดงผลงานของตัวเองผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่แสนจะสะดวกสบายในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการมี Instagram หรือ Youtube Channel ไว้แสดงผลงานของตัวเอง อาจเขียน Blog ประกอบเพื่อบรรยายผลงานของตัวเองเพิ่มเติมด้วยก็ได้
นอกจากนี้ ลองมองหาการประกวดแข่งขัน หรือ การออกนิทรรศการแสดงผลงานต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสได้ทำงานใน scale ที่ใหญ่ขึ้นและจริงจังขึ้น ก็จะช่วยได้มากครับ
บางคนมีผลงานที่แสดงตามช่องทางต่าง ๆ อยู่ในระดับที่ดีถึงขั้นที่ Brand ดัง ๆ ในต่างประเทศมาซื้อผลงานตั้งแต่ยังเรียนระดับ A-level ก็มีครับ บางคนมีรายได้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วตั้งแต่เพิ่งขึ้นปี 1 ในระดับมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน บางคนเรียนจบแล้วบริษัท Brand Fashion ชั้นนำมาจองตัวไว้เป็นไป designer อันดับต้น ๆ ก็มี ทั้งหมดนี้เกิดจากการสะสมและแสดงผลงานของตัวเองสู่สายตาชาวโลกอยู่ตลอดครับ
Artist ไม่ใช่อาชีพง่าย ๆ และ Art ก็ไม่ใช่วิชาง่าย ๆ ต้องใจรัก ต้องมีความหลงใหล ต้อง Born to be และต้องฝึกฝน ลงมือทำ ทำงานหนักเยอะมาก แต่ถ้ามันใช่ตัวเขาเองจริง ๆ มันก็คือความสุขอย่างที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าลูกคุณพ่อคุณแม่เขาอยากทำจริง ๆ ก็ให้เขาทำเถอะครับ แล้วช่วยสนับสนุนเขา ให้กำลังใจเขาให้ไปให้สุดทาง เขาจะมีความสุขที่สุด บนสิ่งที่เขาเลือก มั่นใจได้เลยครับ